ชุมชนบ้านห้วยปลาหลด จ ตาก
ชุมชนบ้านห้วยปลาหลด จ.ตาก
ห้วยปลาหลด เป็นลำน้ำสายเล็กที่ชาวล่าหู่เฌเล หรือลาหู่ดำ พากันมาตั้งรกรากที่ดอยมูเซอ อ.แม่สอด จ.ตาก ดำรงชีวิตด้วยการทำไร่ เก็บหาของป่า ล่าสัตว์
ในยุคปลูกฝิ่น...ที่นี่ก็ปลูกฝิ่น นอกเหนือจากปลูกข้าวโพดและข้าวไร่หมุนเวียน โดยปลูกแล้ว 1 ปี เว้นไว้ 3-4 ปี แล้วหมุนเวียนกลับมาปลูกอีกครั้ง รูปแบบการใช้ที่ดินทั้งสองอย่างทำให้มีหย่อมเขาหัวโล้น และเผชิญกับการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช รวมทั้งนโยบายอพยพชาวบ้านออกจากป่า แต่เมื่อมีพระเด่น นนฺทิโย พระสงฆ์สายวัดป่าจากวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ธุดงค์ผ่านมาในหมู่บ้าน และเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก ซึ่งปฏิบัติงานในหมู่บ้าน เป็นที่ปรึกษาให้แนวทางการทำงานแก่ชุมชนในการพิสูจน์ว่าคนกับป่าอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในชุมชนในวันที่ 26 มกราคม 2517 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ปลูกพืชที่ทำรายได้ทดแทนฝิ่น พร้อมตั้งตลาดมูเซอเพื่อจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรของชุมชน
ท่ามกลางความกดดันเรื่องการย้ายคนออกจากป่า จึงตั้งคณะกรรมการหมู่บ้าน 10 คน เพื่อเป็นแกนนำทำกิจกรรมฟื้นฟูป่า ปลูกพืชอาหารและพืชรายได้แทรกในป่า เช่น กาแฟ เนียง และไผ่ กันพื้นที่เลี้ยงสัตว์แยกชัดเจนด้านใต้ของพื้นที่ไร่หมุนเวียน เพื่อไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าไปหากิน และทำความเสียหายกับต้นไม้ ปลูกผักเพื่อบริโภคในครัวเรือนและจำหน่าย โดยปลูกตามหุบเขาซึ่งมีลำธารผ่าน และบริเวณพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่เหมาะกับการปลูกไม้ใหญ่จะปลูกพืชอาหาร ทำฝายชะลอน้ำตามลำห้วยสาขาต่างๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในป่า ทำแนวกันไฟรอบเขตพื้นที่ป่าของหมู่บ้าน และไม่ขยายพื้นที่ไร่หมุนเวียนแม้ประชากรจะเพิ่มขึ้น
พื้นที่อนุรักษ์เพิ่มขึ้น คือจากป่าบ้านมูเซอบ้านใหม่กับบ้านห้วยปลาหลด (ทั้งสองป๊อกบ้านอยู่ในเขตหมู่ 8) จาก14,000 ไร่ เป็น 22,290 ไร่ จำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินตามภูมิปัญญาของบรรพชนและการทำงานร่วมกับอุทยานฯ แบ่งเป็น 9 ประเภท ได้แก่ (1) ตลาดสินค้าเกษตรชุมชน 106 ไร่ (2) ที่อยู่อาศัย 334 ไร่ (3) ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง 16,188 ไร่ 4) ป่าชุมชน 1,028 ไร่ (5) ป่าประเพณีวัฒนธรรม 381 ไร่ (6) ป่าอนุรักษ์ 1,164 ไร่ (7) พื้นที่ปลูกข้าวดอย 2,724 ไร่ (8) พื้นที่ปลูกผักร่องน้ำ 626 ไร่ (9) พื้นที่สาธารณประโยชน์ 368 ไร่
พื้นที่ไร่หมุนเวียนยังคงใช้ระบบเดิมคือ หมุนเวียนในช่วง 3-4 ปี โดยไม่ขยายพื้นที่ เมื่อคำนวณการใช้ประโยชน์ที่ดินจากการปลูกผัก กาแฟ ข้าวไร่ พบว่าแต่ละครัวเรือนใช้ที่ดินทำกินโดยเฉพาะครัวเรือนละ 3 งาน แต่สามารถสร้างรายได้ประมาณ 25,000-35,000 บาท/ครัวเรือน/เดือน จากผลผลิตที่คละกัน อาทิ กาแฟ หน่อไม้ ลูกเนียง มะขามป้อม มะระหวาน เป็นต้น เพราะไม่ปลูกมาก ปลูกแบบผสมผสาน และดูแลผลผลิตดี ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ส่วนการใช้ปุ๋ยเคมีเหลือน้อยลง ที่สำคัญคือได้พัฒนาช่องทางจำหน่ายผลผลิตอยู่เสมอ อาทิ การแปรรูปผลผลิตกาแฟและเปิดร้านกาแฟที่ตลาดสินค้าเกษตรชุมชน (ตลาดดอยมูเซอ) ปัจจุบัน ชุมชนจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วให้กับสายการบินแอร์เอเชีย (ประเทศมาเลเซีย)
ปี 2555 ชุมชนร่วมกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำเรื่องบริหารจัดการป่าและน้ำ มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานน้ำเพื่อการปั่นไฟใช้ในชุมชน วางระบบท่อส่งน้ำภูเขาสู่ชุมชนเพื่อเก็บไว้ใช้ การกระจายน้ำเข้าสู่แปลงเกษตรด้วยระบบท่อสปริงเกอร์ขนาดเล็ก รองรับพื้นที่การเกษตร 150 ไร่
ท้ายที่สุดได้รับการยกย่องเป็นพื้นที่ต้นแบบ “คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน” กับ 6 ชุมชนรอบอุทยานแห่งฯ และสามารถเพิ่มพื้นที่ป่า การลดพืชเชิงเดี่ยว และยกระดับคุณภาพชีวิตโดยอาศัยหลักการตลาดที่สอดคล้องกับระบบการเกษตรที่เอื้อต่อการอนุรักษ์