ผู้พิทักษ์รักแท้แห่งป่ากนเกือง โดย ศิริวัฒน์ มะลิแย้ม
ผู้พิทักษ์รักแท้แห่งป่ากนเกือง
ใบพัดกังหันลมกลางทรวงอกของหญิงสาวหยุดนิ่ง แผ่นหลังสีดำเป็นสารกึ่งตัวนำเต็มไปด้วยหยดน้ำค้าง แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าตรงช่องท้องยังทำงานต่อเนื่อง แสงจากดวงตาสว่างวาบเป็นสีขาววอร์มไวท์ แล้วเปลี่ยนเป็นคูลไวท์ รูม่านตาเป็นสีดำสนิท เป็นส่วนประกอบที่ค่อย ๆ เผยความอ่อนล้า ในโอบกอดของเธอนั้น ชายหนุ่มผู้มีประกายดวงตาเป็นสีแดงก็มีสภาพไม่ต่างกัน
ทั้งสองรู้ดีว่า ในฤดูหนาวที่มีหมอกหนาเป็นช่วงเวลาเปราะบางและอ่อนแอร์ที่สุดของชีวิตคู่ เมื่อสวมกอดกันยากนักที่จะเกิดปรากฏการณ์โฟโตโวลตาอิก แปลงสภาพไปเป็นพลังงานไฟฟ้ามาใช้ดำเนินชีวิตประจำวัน เมื่อไม่มีแสงแดดตกกระทบซิลิคอนบนแผ่นหลังของฝ่ายหญิง ต่อให้โอบกอดกันแน่นสักเพียงไหน กายที่เป็นเนื้อแนบสนิทก็ไม่อาจกลายเป็นวงจรเหนี่ยวนำให้เกิดการไหลของอิเล็กตรอนได้ ฉะนั้นในฤดูหนาว เพื่อให้กังหันลมกลางหน้าอกทำงาน คนมีคู่จึงต้องเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์วันหลายสิบกิโลเมตรไม่ต่างกับคนโสด
“คุณคิดว่าเช้าวันนี้จะมีแดดไหม” ชายหนุ่มและหญิงสาวยืนจับมือกันหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
“มีสิ ต้องมีแน่ ๆ ถ้าไม่มีแดด วันนี้เราคงต้องขับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าลงเขา เข้าไปในเมืองทั้งที่ไม่มีธุระอะไร” หญิงสาวหมุนตัว หันหน้าเข้าหาชายหนุ่ม แผ่นหลังหันไปทางทิศตะวันออก สองดวงตาประสาน “นี่ไง ถ้าดวงตะวันขึ้นเมื่อไร ฉันจะรีบถอดเสื้อตั้งแต่วินาทีแรก ขั้วลบที่แสนดื้ออย่างฉัน จะโอบกอดขั้วบวกที่แสนอบอุ่นอย่างคุณให้แน่นที่สุด”
“ถ้าต้องขับมอเตอร์ไซค์เข้าเมือง ที่วางแผนไว้ว่าจะนำรังรักเทียมไปติดตั้งก็ต้องล่าช้าไปอีก”
“ทำยังไงได้ล่ะ เรามีพลังงานไม่พอ หลายวันที่ผ่านมาเราใช้พลังงานสร้างรังรักเทียมไปเยอะมาก เยอะจนเกินความจำเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่เกินความจำเป็นหรอก คุณอย่าลืมสิ เมื่อช่วงกลางปีเราเห็นพวกมันบินมาฝูงใหญ่ อาจเป็นฝูงจากต่างถิ่นอพยพมา ถ้าเราทำรังรักไม่พอ พวกมันจะแย่งรังกัน ตีกันจนบาดเจ็บหรือตายได้”
ชายหนุ่มมองไปเบื้องหน้า ท้องฟ้ามัวหมองเหมือนมีโดมแก้วซึ่งหมอกจับหนาครอบโลกทั้งใบไว้ ขณะหญิงสาวโอบกอดชายคนรักแน่น นึกขอบคุณที่เขาตัดสินใจเดินทางกลับมาช่วยเธอสานฝันให้พ่อ
สามปีก่อน วารีและแดนอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของเมืองชายทะเล ทุกวันหยุดทั้งสองมักเดินทางไปชาร์จพลังงานบนชายหาด โอบกอดกันเสมือนประกอบร่างให้ระบบโซลาร์เซลล์ทำงานได้ แดนมักชมว่าลมหายใจของวารีมีกลิ่นหอมเหมือนโอโซน วารีได้แต่หัวเราะ นั่นเป็นการใช้ความหมายผิด ๆ ในบริบทของการท่องเที่ยว วารีรู้จักโอโซนเป็นอย่างดี มันอยู่เหนือหมู่บ้านกนเกืองในชั้นบรรยากาศสูงหลายสิบกิโลเมตร ช่วยป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ เธอจึงมักตอบกลับว่า ให้เปรียบเทียบกลิ่นลมหายใจของเธอหอมเหมือนอากาศบริสุทธิ์จะดีกว่า
ยามสายของวันหนึ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ ขณะทั้งสองยืนโอบกอดกันที่ชายทะเล แผ่นหลังของวารีกำลังร้อนได้ที่ ทั้งสองสัมผัสได้ถึงพลังงานไฟฟ้ากำลังไหลเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่สำรองที่บริเวณช่องท้อง จังหวะนั้นข่าวร้ายก็เดินทางมาถึง
ระบบแจ้งเตือนของสมาร์ตโฟนสั่นแรง วารีลากไล้นิ้วบนหน้าจอตอบรับ นิ่งเงียบไปชั่ววินาที เสียงแม่สั่นเครือรอดมาตามสาย แจ้งข่าวร้ายว่าพ่อขึ้นไปติดตั้งรังรักให้นกเงือก พลาดตกลงมาจากต้นยางนายักษ์เสียชีวิต
ตอนนั้นภาพนกยักษ์โบราณฉุดสติเธอให้เตลิดไปไกลแสนไกล เธออยู่ในวัยเด็กหญิงยืนมองนกเงือกโตเต็มวัย มันโชว์จะงอยปากใหญ่ยาว โหนกบนกะโหลกขนาดใหญ่ หางยาว ยามเมื่อมันกระพือปีกแสดงถึงพลังอำนาจ แข็งแรง และสง่างามยิ่งนัก นั่นคือนกที่พ่อรักที่สุดในชีวิต
“ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเพื่อพวกมันขนาดนั้น เอาชีวิตเราให้รอดก็พอ”
จังหวะนั้นเสียงเบา ๆ แหบ ๆ ของแม่ลอยมาจากทั่วสารทิศ แม่คิดเหมือนกับสมาชิกของหมู่บ้าน ชาวกนเกืองรู้ดีว่า แม้ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ดำรงตนให้มีชีวิตอยู่ก็เกิดประโยชน์มากมายกับโลกใบนี้
ชาวกนเกืองที่ยังไม่ได้แต่งงาน สามารถผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานลมได้ราว 15 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพียงพอต่อการชาร์จรถมอเตอร์ไซค์คู่กาย และใช้ในชีวิตประจำวัน ทว่าในหนึ่งวันที่มีแสงแดดจัด ชาวกนเกืองที่มีคู่ชีวิตแล้วสามารถผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาดได้ราว 25 กิโลวัตต์ชั่วโมง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ราว 7,700 ปอนด์ นั่นเท่ากับลดการปล่อยคาร์บอนจากสมาร์ตโฟนราว 447,000 เครื่องที่ชาร์จในหนึ่งปี และเป็นเพราะความสามารถพิเศษทางกายภาพของชาวกนเกืองนี้เอง ภาครัฐมองว่าเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด จึงไม่อนุญาตให้ลงทะเบียนซื้อขายคาร์บอนเครดิตบนตลาดเทรดคาร์บอนของประเทศได้ ชาวกนเกืองวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่จึงต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เว้นแต่เพียงพ่อของวารีที่คิดไม่เหมือนคนอื่น
“มัวแต่ช่วยนกพวกนั้น แล้วจะเอาอะไรกิน” เสียงแม่ลอยมาอีกหน
“ป่าของกูกินได้” เสียงของพ่อในวัยหนุ่มนุ่มหู รอยยิ้มของพ่อตราตรึงประทับในหัวใจ
ภาพนกโบราณเข้ามาซ้อนทับใบหน้าของพ่อ เสียงคลื่นลมจากทะเลฉุดเธอกลับมาในห้วงปัจจุบัน ใบพัดกลางอกยังหมุนแรง
“ฉันจะเดินทางกลับไปทำศพพ่อ และไม่กลับมาทำงานอีก ฉันต้องไปทำหน้าที่แทนพ่อ คุณจะกลับไปอยู่บ้านด้วยกันไหม จะได้แจ้งคืนห้องเช่าเสียเลย”
แดนโต้แย้งเล็กน้อยด้วยเห็นว่าอนาคตของวารีกับองค์กรกำลังไปได้สวย เธอเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน จนได้รับรางวัล Sustainability Awards ระดับประเทศ ทว่าคำตอบของแดนในวันนั้นทำให้ใบหน้าของวารีเปื้อนยิ้มมาตลอดระยะเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกัน
ในช่วงที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนักแดนก็อยู่เคียงข้าง วารีถือปืนยาวที่พ่อทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับนายทุน บนผืนดินที่รัฐกำหนดให้เป็นเขตสัมปทานป่าไม้ เจรจาขอซื้อยางนาห้าสิบต้นด้วยเงินที่เปิดเพจรับบริจาค นายทุนยืนนิ่งราวกับกำลังกดเครื่องคิดเลขอยู่ในหัว ไม่เข้าใจว่าชาวกนเกืองที่ใช้ไม้ไผ่สร้างบ้านจะซื้อต้นยางนาไปทำอะไร ไม่รู้เป็นเพราะปืนหรืออำนาจเงินที่ทำให้นายทุนตกลงซื้อขาย หลังจากนั้นแดนและวารีก็ช่วยกันติดหมายเลขกำกับโพรงซึ่งเป็นรังรักของนกเงือกราว 30 รัง แล้วโพสต์ลงเพจประกาศหาพ่อแม่บุญธรรม นั่นทำให้ทั้งคู่มีรายได้เพียงพอจะประทังชีวิตและดูแลนกเงือกมาได้หลายปี
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ สาดแสงทะลุหมอกหนา วารีถอดเสื้อคลุมออก เปลือยแผ่นหลัง แดนเพียงปลดกระดุมเสื้อแล้วเข้าสวมกอด เนื้อแนบเนื้อสนิทแล้วอิเล็กตรอนก็เริ่มเคลื่อนไหล
“วันนี้ตอนเที่ยงไปประชุมกับผู้นำชุมชนที่ลานกลางหมู่บ้านด้วยนะวารี”
“วารีต้องไปซ่อมรังให้นกเงือกจ้ะแม่ แม่ไปฟังก็แล้วกัน มีอะไรค่อยมาเล่าให้วารีฟัง”
“กฎหมายป่ากำลังจะบังคับใช้ในอีกไม่นาน เขาจะให้เราอยู่ที่นี่ได้อีกแค่ 20 ปี หลังจากนั้นเราจะไปอยู่ที่ไหน จะเอาที่ดินที่ไหนมาทำกิน เรื่องสำคัญขนาดนี้ ยังมัวแต่ไปช่วยนกเงือกอยู่ได้ วันนี้มีตัวแทนพรรคการเมือง มี ส.ส. ตัวแทนกรรมการชาติ ผู้อำนวยการองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจกมาด้วย ไปประชุมเถอะ พวกเขาจะช่วยเราได้”
“กฎหมายป่า บัญญัติโดยคนเมืองหรือคนป่าครับแม่ คนพวกนั้นไม่ช่วยเราหรอก” แดนกัดฟันกรอด
แม่ได้แต่ส่ายศีรษะ เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ส่วนแดนและวารียืนกอดกันจนครบหนึ่งชั่วโมงแล้วจึงเดินทางเข้าป่าลึกตามแผนที่วางไว้
คู่รักไม่อาจรอช้า ฤดูผสมพันธุ์กำลังจะมาถึง การเดินทางรอบแรกนั้นจะต้องเข้าไปสำรวจรังเทียมที่เคยติดตั้งไว้เมื่อปีก่อน รวมทั้งโพรงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติด้วย เพื่อซ่อมแซมและทำความสะอาดให้พร้อมใช้งาน หลังตระเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยทั้งสองก็เริ่มออกเดินทาง
ทางเดินมุ่งสู่ใจกลางป่าชื้นมีความชันเล็กน้อย วารีเดินนำหน้า แดนก้าวตามหลัง แผนที่ถูกวาดไว้ในหัววารีตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กหญิงเดินตามหลังพ่อ คู่รักผู้พิทักษ์เดินทางเกือบชั่วโมง ทุกย่างก้าวราวกับดิ่งลึกเข้าไปในโอบกอดแห่งพงไพร คล้ายกับว่าป่ากำลังเปล่งคำต้อนรับ เสียงปีกนกวาดในอากาศอยู่เหนือเรือนยอดไทร เหล่าสัตว์นานาชนิดร้องประสานเสียงเป็นบทเพลงคล้ายกำลังสรรเสริญคู่รักผู้พิทักษ์ผู้มาเยือน
“ถึงแล้ว โพรงหมายเลข 3” วารีหยุดกึก กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ “ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ”
“สังหรณ์ใจอะไรของคุณ เราเพิ่งเดินทางมาถึง ว่าแต่คุณนี่เก่งนะ จำทางได้แม่น ผมเดินมาสามปี ปีละหลายรอบก็ยังจำไม่ได้”
“คุณไม่ใส่ใจมากกว่าละมั้ง ฉันจำได้ทุกอย่างที่พ่อเคยบอกเคยสอนนั่นแหละ โพรงหมายเลข 3 เป็นโพรงที่เกิดจากหมีมาฉีกเนื้อไม้หากินน้ำผึ้ง สังเกตง่าย ๆ บริเวณโพรงลำต้นจะบวมออก ตรงโน้นโพรงหมายเลข 4 เกิดจากนกหัวขวานเจาะ รูโพรงจะกลม ๆ หน่อย แถวนี้ไม่มีโพรงที่เกิดจากเชื้อรา ลักษณะโพรงจะเป็นทรงรี แต่ดูนั่นสิ! พ่อไม่เคยสอนเรื่องนี้”
แดนเดินไปก้มเก็บขี้บุหรี่มาถือไว้ “นั่นสิ ในป่านี้มีขี้บุหรี่ได้ยังไง ใครสักคนมาที่นี่ก่อนเรา ชาวกนเกืองมนุษย์พลังงานสะอาดอย่างเราไม่ดูดบุหรี่ มันก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใคร ๆ ก็รู้”
“อาจเป็นพรานล่านกเงือกก็ได้ ทางนั้นเป็นทางที่มุ่งสู่ต้นไทรใหญ่ พวกนกเงือกจะมารวมตัวกันที่นั่นในช่วงที่ผลไทรสุกงอม”
“เราขึ้นไปซ่อมโพรงรังกันเถอะ” แดนทิ้งก้นบุหรี่และวางอุปกรณ์ลง บิดกายด้วยความเมื่อยล้า
“ไม่ เราต้องไปที่ต้นไทรใหญ่ก่อน ไปดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีอันตรายกับฝูงนกเงือก” วารีก้าวเดินมุ่งหน้าไปโดยไม่รีรอ
“คุณนี่ช่างไม่เกรงกลัวอะไรเอาเสียเลย” แดนพูดเสียงดัง ไม่สนใจว่าวารีจะได้ยินหรือไม่ เขาเคยพูดประโยคทำนองนี้กับเธอบ่อยครั้ง เป็นลักษณะนิสัยที่แดนสัมผัสได้ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกัน
ในไม่ช้าทั้งวารีและแดนก็เดินทางถึงภัตตาคารแห่งป่ากนเกือง วารียืนมองรากที่ชอนไชลงดินที่มีใบไม้ห่มให้ความรู้สึกชื้น ไล่สายตาไต่ขึ้นไปตามลำต้นที่หยัดยืนชูเรือนยอดเป็นภัตตาคารลูกไม้สุก ผลสีส้มเหลืองไกวลมหยอกล้อกับแสงแดดอุ่น ที่นี่เป็นจุดเช็กอินสำคัญ เคยมาเยือนหลายครั้ง มันช่วยวาดภาพย้ำลายเส้นให้ชัดเจน ซ้ำลงบนคำบอกเล่าของพ่อที่วาดแผนที่ไว้ในหัว
แกร๊กกกก แกร๊กกกก เสียงนกแก๊กแทรกเข้าในโสต จากนั้นเสียงทุ้มของพ่อค่อย ๆ ดังขึ้น ภาพในโรงพยาบาลฉายอยู่บนฉากความทรงจำ เด็กหญิงวารีในวัย 8 ขวบสวมชุดสีขาวนอนนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ทั้งเหนื่อย ทั้งอ่อนล้า ไม่หิว ราวกับร่างไร้วิญญาณที่อยากจะหลับไปตลอดกาล ทว่าพ่อยังนั่งกุมมือ เล่าเรื่องการเดินทางเข้าไปในป่ากนเกืองให้เธอฟัง ผลไทรสุกเป็นปาก เป็นปีก เป็นเลือด เป็นเนื้อของนกเงือก เสียงนั้นก้องจากอดีตดังจากโรงพยาบาลมาถึงปัจจุบันในกลางป่ากนเกือง
“เฮ้ย จะทำอะไร”
เสียงแดนดังขึ้นทำให้วารีหลุดจากภวังค์นึก ภาพที่ฉายในหัวกลายเป็นภาพพรานคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปยังนกเงือกตัวผู้ที่อยู่บนเรือนยอดขณะกำลังกินผลไทรสุก นายพรานผวา เหล่าบรรดาสรรพสัตว์และนกเงือกแตกตื่น บ้างบินหนี บ้างไต่ไปตามกิ่งก้านสาขาของไทรไม่ต่างเล่นกายกรรม หนีหายกระจัดกระจาย ทว่าก็ยังมีเสียงเพลงแห่งพงไพรที่นกร่าเริงขับขานประดับเป็นฉากหลังแผ่วมาจากระยะไกล
“นกป่า ไม่มีเจ้าของ กูจะทำอะไรก็ได้”
วารีรู้จักเขาดี พรานคนนี้ขัดแย้งกับพ่อมานานนับ 10 ปี เคยมีปากเสียงกับพ่อบ่อยครั้ง กระสุนจากปากกระบอกปืนของพ่อเคยไล่หลังให้เขาวิ่งออกจากป่ามานับครั้งไม่ถ้วน ล่าสุดวารีเพิ่งเห็นชื่อเขามากดไลก์โพสต์ประกาศตามหาพ่อแม่บุญธรรมนกเงือก วารีวิเคราะห์แล้วเขาเป็นศัตรูของพ่อและไม่ใช่ผู้ติดตามเพจ ซึ่งคาดเดาได้ว่าอาจเผลอกดไลก์โดยไม่ได้ตั้งใจ
วารีได้แต่คิดในใจ ศัตรูของพ่อ ก็คือศัตรูของนกเงือก
“ทำไม่ได้ค่ะ นกเงือกในป่านี้ฉันดูแลอยู่ ออกไปได้แล้ว และไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
พอสิ้นเสียงวารี พรานก็เบนปากกระบอกปืนเข้าหาเธอ ลั่นกระสุนอย่างไม่รอช้า ขณะแดนโถมกายเข้าบังกระสุนในชั่ววินาทีนั้น ปัง!
เสียงปืนทำให้ป่าหยุดส่งเสียง เงียบยิ่งกว่าเดิม ไม่มีเสียงนกบรรเลงเพลงรักแห่งพงไพรเหมือนเช่นเคย พรานป่าจากไปแล้ว ส่วนแดนร่วงหล่นในอ้อมกอดของวารี กระสุนพุ่งเข้าใส่บริเวณหน้าท้อง แบตเตอรี่สำรองพลังงานได้รับความเสียหาย และภายใต้ผืนป่าทึบ แสงแดดไม่เพียงพอจะเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า วารีตะโกนเรียกชื่อแดนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นหันไปทั่วทุกทิศ ประกายในดวงตาอ้อนวอนให้สายลมโบกพัด
“ทิ้งผมไว้ ไปตามคนมาช่วย แบตเตอรี่น่าจะยังส่งพลังงานมาเลี้ยงระบบขับเคลื่อนชีวิตได้บ้าง รีบไปก่อนที่มันจะหยุดทำงานเสียก่อน หยุดร้องไห้ก่อน” น้ำเสียงแหบแห้งของแดนเร่งเร้าให้อีกฝ่ายตั้งสติ
วารียังคงร้องไห้เสียงดัง ค่อย ๆ วางร่างแดนลงกับพื้น ประคองศีรษะวางลงบนรากไทร จัดท่านอนให้อยู่ในท่าสบายที่สุด จากนั้นปลดเป้และสัมภาระต่าง ๆ ออกจนหมด จับมือ ก้มลงประทับริมฝีปาก และให้คำสัญญาว่าจะกลับมาช่วยเหลือให้ทันเวลา
เมื่อตะวันตรงหัว วารีเดินทางมาถึงลานกลางหมู่บ้านกนเกืองทั้งที่สายน้ำตายังรินไหลเป็นทาง ทว่าไม่มีใครสังเกตหญิงสาว ทุกคนยังให้ความสนใจกับการถกเถียงหาข้อสรุป เพื่อเสนอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ดำเนินการยับยั้งกฎหมายป่าที่ทำร้ายคนดูแลป่า
“การดูแลป่าให้ได้ผล ต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วม แล้วกฎหมายฉบับนี้จะให้ชุมชนย้ายออกจากป่า จะได้ประโยชน์อะไร มีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี” ชายในชุดสูทพูดด้วยท่าทางสุขุม
“ขอโทษนะคะ ใครก็ได้ไปช่วยสามีของวารีได้ไหมคะ เขาถูกยิงอยู่ในป่าค่ะ”
“ไม่มาร่วมประชุมเรื่องสำคัญ แล้วยังจะหาปัญหามาให้อีก” หญิงเฒ่าผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์แห่งหมู่บ้านตำหนิแล้วหันหน้าหนี
ทุกคนในที่ประชุมเกือบร้อยชีวิตสงบเงียบ ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไร วารียิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งที่เธอทำ ชาวบ้านไม่ให้ความสำคัญแม้แต่น้อย ทั้งที่หลายคนก็รู้ว่านกเงือกมีความสำคัญอย่างไรกับผืนป่า มันคือนักปลูกต้นไม้แห่งป่ากนเกือง เป็นนักกระจายเมล็ดพันธุ์ พวกมันกินแล้วขย้อนออกมา น้ำย่อยในท้องช่วยให้เมล็ดพันธุ์งอกงามได้ดี ตลอดชีวิตมันสามารถปลูกป่าได้หลายแสนต้น
“แต่เราสองคนไปเพื่อพิทักษ์ปักษาหัวใจแห่งพงไพรนะคะ”
“ทายาทที่ต้องการล้างบาปให้พ่อ นายพรานที่ชำนาญการล่านกเงือกมากที่สุดในหมู่บ้านน่ะเหรอ” ปราชญ์หญิงเฒ่ากัดฟันพูด จ้องเขม็งเหมือนขุดความแค้นขึ้นมาฉายผ่านดวงตา
วารีชะงักงัน แม้สายน้ำตายังไหลริน แต่ราวกับว่ามีบางส่วนบ่าท่วมอยู่ข้างในอก
แม่แทรกกายออกมาจากกลางที่ประชุม เข้าสวมกอดวารี ก่อนผละจากกัน ใช้มือหนึ่งปาดน้ำตาให้บุตรสาว แม้แม่จะไม่เห็นด้วยกับการเป็นผู้พิทักษ์นกเงือก หนึ่งคือคิดว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร สองคือเกรงว่าจะต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในป่าเหมือนพ่อไปอีกคน แต่เลือดและเนื้อที่ปั้นแต่งด้วยมดลูกจนเป็นตัวเป็นตนของหญิงแกร่งแห่งป่ากนเกืองนั้นไม่อาจตัดเยื่อใย ชั่วขณะหนึ่งแม่หันไปหาชายในชุดสูท สบตาเขาหวังบอกว่า หญิงที่ยืนร้องไห้ไม่หยุดตรงหน้านี้ คือวารีคนที่เขาถามหาตั้งแต่ยังไม่เริ่มประชุม
ชายในชุดสูทเดินออกจากที่ประชุมตามคำเชิญของสายตาคู่นั้น เข้ามายืนข้าง ๆ วารี
“คุณคือวารีใช่ไหม ผมชื่อชาตรี เป็นผู้อำนวยการองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก และเป็นพ่อบุญธรรมของลูกนกเงือกในโพรงหมายเลข 9 ในฤดูผสมพันธุ์ของปีที่แล้ว มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ”
วารีไล่สายตามองชายในชุดสูทจากหัวจรดเท้า สีขาวของนัยน์ตาบ่งบอกว่า เขาเป็นคนเมืองที่ไม่ต่างเพื่อนร่วมงานในนิคมอุตสาหกรรมริมทะเล มั่นใจได้เลยว่าเขาไม่มีกังหันลมที่กลางโพรงอก และไม่มีระบบโซลาร์เซลล์บนแผ่นหลัง
“แดนถูกยิงค่ะ ต้องพาคนพาหมอเข้าไปช่วยเขา”
“ถ้ารอหมอคงใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ผมมีเพื่อนเป็นอดีตทหาร พอจะมีความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลจากการถูกยิงอยู่บ้าง พวกเราจะไปช่วยแดนด้วยกัน”
วารีมองตามผู้อำนวยการไป เหมือนกับว่าเขากำลังสั่งให้ตัวแทนบางส่วนอยู่ร่วมประชุมกับชาวบ้าน สักพักเขาเดินนำเพื่อนอีกสี่คนไปที่รถแคมป์ปิ้ง เปลี่ยนชุดและรองเท้าให้เหมาะกับการเดินป่า รวมทั้งนำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดมือไปด้วย แม้ผู้อำนวยการคนนี้จะเป็นพ่อบุญธรรมของนกเงือก แต่วารียังหวาดระแวงอยู่บ้าง ไม่รู้เขามาเพื่อวัตถุประสงค์ใด ต้องการผลประโยชน์อะไรแอบแฝงซ่อนเร้นไว้หรือไม่ ทว่าชีวิตของแดนสำคัญเกินกว่าจะหาเหตุผลใดมารับประกันความไว้ใจนั้น
วารีนำทางพากลุ่มคนแปลกหน้าเข้าไปในป่ากนเกือง มุ่งหน้าไปด้วยความเร็วมากกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่เธอกับคนรักผู้พิทักษ์เคยย่ำเท้าเข้าออกหลายร้อยรอบตลอดระยะเวลาสามปี ขณะกลุ่มชายแปลกหน้าสาวเท้าเดินตามไปห่าง ๆ หนึ่งในนั้นแบกเตียงสำหรับแคมป์ปิ้งใส่หลังมาด้วย มีเพียงผู้อำนวยการเท่านั้นที่ย่ำเท้าตามไปแบบเท้าต่อเท้า ใกล้จนได้ยินเสียงกังหันลมที่กลางโพรงอกของเธอหมุนยามเมื่อสายลมกระตุกวูบ
นานเหมือนข้ามปี แม้เร่งฝีเท้าแล้วก็ไม่อาจไปถึงได้เร็วอย่างใจนึก ร่างที่นอนนิ่งศีรษะหนุนรากไทรหายใจรวยริน วารีพุ่งเข้าไปประชิด เขย่าเรียกชื่อ แดนไม่โต้ตอบ ผู้อำนวยการและเพื่อน ๆ ช่วยกันปรับเตียงแคมป์ปิ้งให้เป็นเปลสนาม ก่อนช่วยกันเคลื่อนย้ายร่างแดนออกจากพื้นที่ โดยวารีและผู้อำนวยการเดินนำหน้าไป ชายสี่คนหามร่างแดนย่ำไปบนผืนดินที่ปูด้วยใบไม้ชื้นอย่างระมัดระวัง
“คุณรู้อยู่แล้วว่ามันเสี่ยงมากที่ต้องมาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ อีกอย่างคุณเป็นผู้หญิงด้วย...”
“ผู้อำนวยการจะถามว่าทำไมฉันถึงเลือกมาเป็นผู้พิทักษ์ใช่ไหมคะ น่าจะได้ยินที่ยายเฒ่าบอกใช่ไหมคะ พ่อฉันเป็นพรานเคยล่านกเงือกค่ะ”
“ได้ยินครับ พ่อคุณน่าจะรู้ตำแหน่งโพรงรักของนกเงือกทั้งหมดในป่านี้เป็นอย่างดี”
“ใช่ค่ะ พวกมันเจาะโพรงเองไม่เป็น ต้องอาศัยสัตว์ทำโพรง หรือใช้โพรงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ กว่าต้นไม้จะใหญ่ ให้ธรรมชาติรังสรรค์โพรงได้ต้องใช้เวลานับสิบปี รังรักหรือโพรงรักของพวกมันจึงอยู่ที่เดิม ๆ มีแต่พวกพรานเท่านั้นที่รู้ พ่อส่งต่อแผนที่ตำแหน่งโพรงนั้นให้ฉันด้วยคำบอกเล่า และได้เดินเข้าป่าเป็นลูกมือให้พ่อบ้างหลังจากพ่อกลับใจ”
“ผมรู้มาว่าคุณไม่ยอมบอกตำแหน่งโพรงเหล่านี้ให้ใครรู้เลย อีกอย่างชาวบ้านก็ไม่สนใจจะมาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ด้วย”
“ใช่ค่ะ ฉันกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายพวกมัน มาขโมยลูก ๆ ของพวกมันไปขายในตลาดมืด ฉันจึงต้องมารับหน้าที่นี้ต่อจากพ่อเอง ทำเองค่ะ”
“ผมพอจะรู้จักประธานมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก เธอน่าจะมีวิธีช่วยพูดกับชาวบ้านให้มาช่วยงานอนุรักษ์นกเงือกได้ คุณจะกรุณาบอกตำแหน่งของโพรงได้ไหม”
เมื่อขบวนเดินเท้าเคลื่อนไปถึงจุดที่เป็นทางชัน ทั้งสองหยุดคำสนทนา หันไปช่วยประคองเปลสนามให้เคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัยที่สุด บริเวณนั้นมีไทรอีกต้นแผ่กิ่งก้านสาขา ชั้นเรือนยอดเต็มไปด้วยนกและสรรพสัตว์นานา ๆ ชนิด กรก กร๊ก กรก กร๊ก นกกกร้องนำมาก่อน วารีจำได้ พ่อเรียกมันว่ากาฮัง จิ๊บ ๆ จิ๊ก ๆ นกไม่ทราบชนิด เจ้ากระรอกวิ่งฉิว และชะนีตัวหนึ่งค่อย ๆ โหนไปตามกิ่งไม้ หวังให้พุ่มใบบังอำพรางตัว เมื่อมันมองเห็นขบวนเดินเท้า
หลังพาร่างของแดนผ่านจุดที่ยากลำบากได้ วารีกลับไปทำหน้าที่นำทางเช่นเดิม ส่วนผู้อำนวยการยังเดินอยู่ท้ายขบวน เป็นช่วงเวลาที่ขบวนเดินเท้าเงียบที่สุด และป่าก็ส่งเสียงดังที่สุดเช่นกัน ทว่าคำถามของผู้อำนวยการส่งเสียงดังกว่า บัดนี้เธอเหมือนไต่ขึ้นไปยืนอยู่บนคาคบไม้ใหญ่ รอคอยให้ชายคนรักชักรอกดึงโพรงเทียมส่งขึ้นไปด้านบน ชั่วขณะนาทีนี้เหมือนวางชีวิตไว้บนจุดที่เสี่ยงที่สุด ไร้เชือกผูกรั้งกันตกจากที่สูง เธอชั่งใจจะเปิดเผยตำแหน่งโพรงให้เป็นสมบัติสาธารณะดีไหม ครั้นหันกลับไปมองชายคนรัก เขาเป็นคนตั้งข้อสังเกตว่า ปีนี้ลูกไทรและผลไม้ป่าอื่น ๆ ในป่ากนเกืองออกผลมากเป็นพิเศษ บรรดานกเงือกจะจับคู่ผสมพันธุ์และเข้าโพรงรักจำนวนมาก แต่โพรงธรรมชาติไม่ทันได้ซ่อมเขาก็ถูกยิงเสียก่อน โพรงเทียมที่เตรียมไว้ยังไม่ได้ติดตั้งเพิ่ม พวกนกเงือกจะแย่งโพรงกันให้วุ่น ทว่านับจากนี้เขาคงต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับเดือน แม้จะมีสวัสดิการรักษาฟรีจากภาครัฐ แล้วค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันล่ะจะหาจากไหน เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่บุญธรรมก็เหลือเพียงน้อยนิด กว่าจะถึงฤดูผสมพันธุ์ กว่าจะได้ถ่ายคลิปเกี้ยวพาราสีกันหน้าโพรงรัก ถ่ายคลิปพ่อนกขย้อนอาหารออกมาป้อนแม่และลูกที่หน้าโพรงไปโพสต์ตามหาพ่อแม่บุญธรรมคงอีกหลายเดือน เมื่อมาถึงทางตัน จึงได้แต่ถามตัวเองว่า หรือเธอจะต้องเปลี่ยนไปเป็นพรานล่านกแบบพ่อ เป็นอาชญากรข้ามชาติ ล่าหัวนกไปขายในตลาดมืดก่อนถูกส่งต่อไปยังต่างประเทศ ตู๊ก ตู๊ก ตู๊ก ตู๊ก ตู๊ก ตู๊ก เสียงนั้นถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนกลายเป็นเสียงหัวเราะ อ๊า อ๊า อ๊า ๆ ๆ ๆ นั่นเสียงนกชนหิน ตระกูลนกเงือกที่หัวสามารถนำไปทำเครื่องรางเครื่องประดับได้ นกใกล้สูญพันธุ์กำลังหัวเราะเยาะเย้ยเมื่อเธอถูกต้อนให้จนมุมใช่ไหม แต่หากเธอทำเช่นนั้น ใครล่ะจะเข้าใจเธอเหมือนที่เธอเข้าใจพ่อ หลายเดือนที่เธอนอนในโรงพยาบาล ยุคสมัยนั้นชาวกนเกืองยังไม่ได้รับสวัสดิการจากรัฐ ค่าหัวนกหลายสิบกลายเป็นค่ารักษาชีวิตเธอให้อยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้
วารียังไม่ให้คำตอบ กระทั่งเดินทางกลับถึงหมู่บ้าน ลานกลางหมู่บ้านเงียบสงบ ผู้เข้าร่วมประชุมแยกย้ายกลับบ้านหมดแล้ว ผู้อำนวยการบอกเพื่อน ๆ ให้ยกร่างแดนตรงไปที่รถบ้านขนาดใหญ่ เมื่อเปิดประตูท้ายรถออกมองเห็นผนังด้านในกรุด้วยไม้สวยงาม เขารีบพับเตียงนอนเก็บ เร่งให้ยกร่างแดนขึ้นไปวาง แล้วเรียกวารีให้ขึ้นไปนั่งบนบ้านเคลื่อนที่ได้
รถบ้านสีดำค่อย ๆ วิ่งออกจากหมู่บ้านมุ่งสู่โรงพยาบาล หนึ่งชั่วโมงต่อมาร่างของแดนไปนอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน วารีโล่งอกขึ้นเล็กน้อยเมื่อส่งคนรักถึงมือหมอ แต่ไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้รับแจ้งจากแพทย์ว่า ประเมินแล้วแบตเตอรี่สำรองไฟของแดนเสียหายหนัก ต้องผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ ต้องส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด วารีฟังแล้วได้แต่ถอนใจ
ผู้อำนวยการรอจนแดนถูกส่งขึ้นรถพยาบาล เขายังคงย้ำกับวารี ตำแหน่งโพรงรักของนกเงือกในป่ากนเกืองจะเป็นประโยชน์กับระบบนิเวศ นกเงือกคือดัชนีวัดความสมบูรณ์ของป่า มันกินผลไม้สุกและขย้อนออกมา เป็นนักปลูกป่าที่ในหนึ่งชีวิตของมันอาจปลูกป่าได้หลายแสนต้น ต้นไม้หนึ่งต้นปล่อยออกซิเจนให้มนุษย์ใช้งานได้ 2 คนต่อปี กักเก็บคาร์บอนได้ตลอดอายุขัยเฉลี่ยเกือบ 2 ตันคาร์บอน นกเงือกหนึ่งตัวตายไม่ต่างเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว ระบบนิเวศในป่าจะขาดสมดุล
“มีอะไรจะให้ผมช่วยก็ติดต่อมาได้ตลอดเวลานะครับ และผมยังรอคอยคำตอบของคุณเสมอ”
กว่าจะผ่านช่วงเวลาที่แสนเศร้าไปได้นานนับเดือน หลังผ่าตัดเปลี่ยนแบตเตอรี่ แดนอาการดีขึ้นเป็นลำดับ เป็นอย่างที่วารีคิด แม้ไม่เสียค่ารักษาพยาบาล แต่ค่ากิน ค่าอาหารสำหรับผู้ป่วยในช่วงฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัดก็จำเป็นไม่น้อย เงินในบัญชีร่อยหรอลงทุกขณะ
“แดน พรุ่งนี้วารีจะเดินทางเข้าไปในป่ากนเกือง อาจไม่ได้มาเยี่ยมหลายวันนะ”
“เข้าไปทำอะไรคนเดียว มันอันตราย”
“เข้าไปเยี่ยมเยียนลูกนก ไปพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ”
“จะไปเยี่ยมทำไม ไหนคุณบอกว่ามีชาวบ้านช่วยกันรายงานเพจเรา กล่าวหาว่าเราหากินกับสัตว์ป่า หากินกับนกเงือก จนเพจถูกปิดไปแล้ว”
วารีกุมมือแดน บอกเขาว่าจะไม่มีคู่รักผู้พิทักษ์รักแท้แห่งป่ากนเกืองอีกต่อไปแล้ว
แดนได้แต่พยักหน้า เขาจำได้ดี วารีย้ำเสมอ นกเงือกมีสังคมคล้ายมนุษย์ อยู่กันเป็นสังคมแบบรวมฝูง จับคู่ผสมพันธุ์แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นสัญลักษณ์แห่งรักแท้ที่หาไม่ได้กับมนุษย์บางครอบครัว เขาสบตาเธออย่างเข้าใจ ในเมื่อเงินเป็นสิ่งสำคัญต่อการใช้ชีวิต ปล่อยให้เธอพรากลูกจากพ่อแม่นกบ้างสักเดือนละตัวสองตัวคงไม่เป็นไร นำไปเปลี่ยนเป็นเงินมาซื้ออาหารบำรุงผู้ป่วยรักษาเขาให้หาย จากนั้นจึงกลับไปสร้างบุญเพื่อล้างบาปก็ไม่เสียหายอะไร
“ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว คิดดีแล้ว ผมก็ไม่ขัด ผมสนับสนุนในสิ่งที่คุณตัดสินใจ ขออย่างเดียว ล้วงลูกนกไปขายได้ แต่อย่าฆ่าพ่อนกเอาหัวไปขาย พวกมันจะตายทั้งครอบครัว”
วารีเดินทางกลับบ้านในช่วงเที่ยง ถึงบ้านเกือบค่ำ เธอใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนเก็บตัวอยู่ในห้อง เขียนบางอย่างบนแผ่นกระดาษสลับกับหันมองหีบไม้เก่าที่เก็บปืนของพ่อ โดยมีแม่คอยช่วยโอนถ่ายพลังงานไฟฟ้าให้ ตลอดช่วงเวลานั้นเธอได้ยินเสียงพ่อแว่วมารอบทิศทาง คล้ายแผ่วมาพร้อมกับสายลม
“คนซ่อมโพรงต้องไม่ขยายปากโพรงให้ใหญ่เกินไป นกเงือกชนิดตัวใหญ่จะมาแย่งรังเจ้าของเดิมได้ หรือหากพบสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาอาศัยอยู่ในโพรงก็ห้ามรบกวน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจัดสรร”
วารีวางแผนเดินทางไปยังตำแหน่งโพรงรักทุกโพรง เพื่อไม่ให้ผิดพลาดจึงค่อย ๆ บรรจงคัดลอกแผนที่ในหัวลงแผ่นกระดาษ แม้ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เธอเดินทางไปยังโพรงรักราว 70 โพรง แต่ไม่เคยวางแผนเดินทางเข้าไปทุกตำแหน่งในคราวเดียว เธอวาดภาพในหัว ให้ไม้ใหญ่ในจินตนาการเป็นเครื่องชี้นำทาง ให้สายลมเป็นเสมือนเข็มทิศ ให้ดาวเหนือชี้ทางในยามฟ้ามืด ให้สายน้ำและลำธารเชื่อมโยงจากโพรงหนึ่งไปอีกโพรง ให้ความมุ่งมั่นและแรงปรารถนาพาหัวใจดวงน้อยไปให้ถึงจุดหมาย ทว่าทุกครั้งที่หยุดยืนหลบในพุ่มไม้ ในมือกระชับปืนของพ่อไว้แน่น จ้องมองพ่อนกขย้อนผลไม้สุกออกมาป้อนแม่และลูกนก ฉับพลันดวงหน้าของแดนก็ลอยเด่นในห้วงคำนึงทุกครั้ง
เป็นดังที่ตั้งความหวังและเป็นจริงดังคาด ปีนี้นกเงือกเข้าโพรงมากกว่าทุกปี และโชคดีที่โพรงรักชำรุดเสียหายไม่มากนัก มีมากกว่า 50 โพรงที่นกเงือกเข้าไปทำรัง บรรดาไทรออกผลทยอยสุกคล้ายรู้หน้าที่ว่าต้องขับเคลื่อนระบบนิเวศ ทุกวันเธอต้องปีนขึ้นไปยืนอยู่บนชั้นเรือนยอด ยืดอกสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ รอให้กังหันกลางหน้าอกหมุนทักทายกับสายลมเพื่อชาร์จพลังงาน ผ่านห้าวันจึงสำรวจครบทุกโพรง คืนสุดท้ายเธอเลือกผูกเปลยัดตัวเองลงในถุงนอนที่ริมลำธาร วาดฝันว่าสักวันหนึ่งรัฐจะมีวิธีการคำนวณหาคาร์บอนเครดิตจากนกเงือก เป็นต้นว่านำจำนวนนกเงือกในป่ากนเกือง คูณด้วยค่าคงที่ที่หาได้จากอัตราส่วนของผู้พิทักษ์หารด้วยสมาชิกทั้งหมดของหมู่บ้าน
ค่ำคืนค่อย ๆ คืบเคลื่อนเข้าสู่เช้ามืดของวันที่หก เสียงนกตื่นเช้าร้องเพลงปลุก เธอสะดุ้งตื่น ปืนยาวของพ่อยังอยู่ในอ้อมกอด ที่เก็บซ่อนมันไว้ในหีบเพราะไม่ชอบมันเท่าไรนัก แต่วันนี้นึกขอบคุณที่มันช่วยให้อุ่นใจในยามมีไว้ป้องกันตัวจากพรานใจร้าย เธอกวาดตามองไปตามเรือนยอด ดาวหมีใหญ่และดาวเหนือหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใบบัง สะลึมสะลือคล้ายว่ายังจับทิศทางไม่ได้ แต่แน่ใจว่าสายลมและลำธารจะพาเธอกลับบ้าน เธอตั้งใจว่าเดินทางออกจากป่ากนเกืองแล้วจะส่งอีเมลแนบไฟล์แผนที่โพรงรักไปให้ผู้อำนวยการบริหารก๊าซเรือนกระจก ขอให้มูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือกเข้ามาขับเคลื่อนโครงการครอบครัวบุญธรรม โดยมีข้อแม้ว่าขอให้สมาชิกของหมู่บ้านกนเกืองมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ หลังจากนั้นเธอจะรีบไปพบแดน บอกเล่าเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างเธอกับลูกนกเงือกให้เขาฟัง