วันหนึ่ง นกแพนกวินจะช่วยชีวิตหนู โดย สุรชัย บุญญสิริ
วันหนึ่ง นกเพนกวินจะช่วยชีวิตหนู
ตอนที่ไม้เมือง มานลิขิตอายุ 9 ขวบ เขาได้รู้ว่านกเพนกวินตัวจริงสูญพันธุ์ไปแล้ว
“นกเพนกวินได้ชื่อเพนกวินมาจากสกุลพิงกวินัส Pinguinus Impenni เราเรียกมันว่านกอ็อกใหญ่ หน้าตาเหมือนนกเพนกวินปัจจุบันเลยเห็นไหม” แม่พูดพลางชี้ภาพในสารานุกรมให้ดู “แต่ตัวใหญ่กว่ามาก สูงถึง 70-80 เซนติเมตร เมื่อนักสำรวจพบเจอนกเพนกวินที่ขั้วโลกใต้ก็เลยเรียกมันว่าเพนกวิน ทั้งที่จริงแล้วอยู่คนละสกุลคนละชนิดกัน อย่างนกเพนกวินจักรพรรดิ มีชื่อไบนอเมียลว่า...”
“Aptenodytes forsteri!”
“นกเพนกวินอะเดลีล่ะ”
ไม้เมืองคิดอยู่ครู่ก่อนจะตอบไป “Pygoscelis adeliae!”
“เก่งมากลูก”
นอกจากจะได้รู้เรื่องนี้แล้ว ปีนั้นยังเป็นปีเดียวกับที่เขาอ่านหนังสือนกเมืองไทยของหมอบุญส่งจบด้วยตัวเอง เป็นปีเดียวกันกับที่คุณปู่เขาเล่าเรื่องผืนป่าในไทย การสร้างเขื่อน และชายที่ชื่อสืบ เป็นปีเดียวกับที่พ่อเขาเปิดวิดีโอสมัยพ่อกับแม่เดินป่าเมื่อสิบปีก่อนให้ดู เป็นปีเดียวกับที่เขารู้จักนกโพระดกปีกแดง Megalaimidae Manalikitus และได้รู้ว่าชนิด Manalikitus มาจากชื่อสกุลมานลิขิตของตน ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ปู่ทวดที่ค้นพบนกชนิดนี้ ที่สำคัญ ยังเป็นปีเดียวกับที่ ในงานเทศกาลยี่เป็ง ณ ถนนท่าแพ มีแม่หมอมาคว้าแขนเขาให้หยุดเดิน ถลึงตาจ้อง แล้วลั่นวาจาด้วยสำเนียงแปลกแปร่งว่า “วันหนึ่ง นกเพนกวินจะช่วยชีวิตหนู!”
และอย่างเช่นที่ใครหลายคนค้นพบว่าวัยเด็กเป็นอนันต์ สิ่งที่ฝังอยู่จากคืนวันเหล่านั้นย่อมสถิตอยู่เบื้องลึกกลางใจ คำทำนายนั้นเองก็เช่นกัน และเด็กชายไม้เมืองจากเด็กสู่วัยรุ่นก็ระลึกถึงมันอยู่เสมอ
ความเข้าใจโลกธรรมชาติของเด็กชายไม้เมืองเติบขึ้นตามอายุ รวมถึงความเข้าใจว่าเหตุใดครอบครัวเขาถึงรักป่าดอย เชียงใหม่ เมืองไทย และหมู่นกนัก แต่ในขณะที่ครอบครัวเขาปลูกความรักไว้ในกลุ่มนกแห่งน่านฟ้าและห้วยบึงของขวานทองแห่งนี้ ไม้เมืองขยับขยายใจออกสู่โลกกว้าง สู่นกเค้า แร้ง และห่านป่าที่ไม่อาจพบได้ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นกเพนกวิน
“นกเพนกวิน” แม่ถามเขาเสียงเรียบ บรรยากาศรอบโต๊ะกินข้าวอึมครึมลงทันใด
เมื่อครู่ทั้งบ้านยังดีใจอยู่แท้ๆ ที่เขาบอกว่าคิงส์คอลเลจในลอนดอนรับเขาเข้าศึกษาต่อคณะสัตววิทยา แต่พอแม่เขาถามว่าอยากทำงานกับสัตว์กลุ่มไหนเป็นพิเศษ แล้วพอเขาว่านกเพนกวิน แม่ก็หน้าถอดสีไปเลย
“ใช่ครับ นกเพนกวิน”
แม่ไม่ตอบ เป็นพ่อที่พูดขึ้นเพื่อพยายามรักษาบรรยากาศ
“ไปก็ดี ตั้งใจเรียน เปิดหูเปิดตา จะได้เอาความรู้กลับมาช่วยงานทางนี้ได้”
“เมืองไทยมีนกเพนกวินหรอพ่อ” แม่สวนฉับ “จบมาจะให้มันทำงานในสวนสัตว์หรือไง”
“มันก็มีทางของมันครับแม่” เขาวอน
“ทางไหน ทางอะไร รู้ใช่ไหมว่าสถานการณ์ทางนี้มันแย่ ปีนึงป่าหายไปกี่ร้อยไร่ แส่จะไปศึกษาหิมะ ไม่มีใครเจอโพระดกปีกแดงมาเป็นสิบปี แส่จะไปอนุรักษ์เพนกวิน! ทำไม คำทำนายนั่นมันทำไม เชื่อมันใช่ไหม”
ไม้เมืองเตรียมใจไว้แล้วว่าการคุยเรื่องนี้คงจบไม่ดี และเป็นจริงอย่างที่แม่บอก นกโพระดกปีกแดงที่มีความสำคัญกับครอบครัวอย่างยิ่งหายจากธรรมชาติไปนับสิบปีแล้ว เสียงร้องเอกลักษณ์ โฮก-ป๊ก-ป๊ก โฮก-ป๊ก-ป๊ก ของมันเหลือไว้อยู่แต่ในเทปของพ่อ
“แม่ไม่เอา ใจเย็นๆ” พ่อรีบค้าน ทว่ากลับไม่ได้ช่วยให้อารมณ์เดือดแม่น้อยลงสักนิด แต่ก่อนที่แม่จะตวาดอะไรขึ้นมาได้อีก ไม้เมืองก็พูดด้วยเสียงเรียบและเด็ดขาด
“ผมตัดสินใจแล้วครับ”
เท่านั้น แม่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกออกจากโต๊ะกินข้าว เก็บกระเป๋าเป้เดินป่าลุกออกจากบ้าน ขับปิ๊กอัพอิซูซุสีบลอนด์มุ่งหน้าสู่ดอยหลวงเชียงดาวในเย็นนั้นทันที แม่คงจะไม่กลับมาอีกหลายวัน
แม่เป็นแบบนั้น นิสัยนักสู้ไม่ยอมแพ้ขับเคลื่อนให้เธอตระเวณไปตามดอยและป่าลึกทั่วเชียงใหม่ เพื่อหวังเพียงว่าจะเจอนกโพระดกปีกแดงอยู่แม้สักตัว และเธอก็หวังอย่างยิ่งว่าลูกๆ ของเธอจะมาช่วยสานพันธกิจของครอบครัวต่อได้ เธอไม่ยอมเชื่อว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้ว เธอไม่ยอมแพ้ เหมือนที่เธอก็รู้ว่าลูกชายของเธอไม่ดื้อด้านไม่แพ้กัน
ในวันเดินทางเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศของไม้เมือง แม่กอดเขาแน่นพร้อมกระซิบเบาๆ ว่าแม่ยังโกรธอยู่ เขากอดแม่ตอบแน่นกว่า พูดกับแม่เบาๆ ว่าขอโทษครับ ก่อนจะจากกันไกล
ไม้เมืองไม่รู้เลยว่าเขาตัดสินใจถูกไหม แต่เขาลบคำทำนายเรื่องนกเพนกวินออกจากใจไม่ได้ และถ้ามีโอกาส เขาคงอยากจะลองพิสูจน์คำทำนายนั่นสักครั้ง เขารู้ดีว่าใครๆ ก็คงมองเขาพิลึก เชื่อเป็นตุเป็นตะกับคำพูดหญิงสติไม่สมประกอบ และเขาเองก็กังขาไม่แพ้กัน
ในวันปฐมนิเทศ คำพูดของคณบดีสลายกังขาทั้งสิ้นในใจเขา ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเขาเลือกถูกแล้ว
“ผืนแผ่นดินรู้ฤดูกาล เมื่อฟ้าเป่าอากาศเย็นรดผืนป่า แปะก๊วยเป็นต้นแรกๆ ที่เริ่มปรับตัว ใบไม้สีเหลืองสดใสแห่งฤดูใบไม้ผลิร่วงโรย ปูทางต้อนรับฤดูหนาวสีขาว แผ่นดินจีนทยอยผลัดสี ไล่ลงมาตั้งแต่จากตอนเหนือเหลียวหนิง ปักกิ่ง เหอหนาน...” คณบดีกล่าวอย่างมีวาทศิลป์ ขณะพูดมือไล่ตามแผนที่จากจีนตอนบนลงมาเรื่อยๆ “...กุ้ยโจว กวางชี กวางตง... ลมหนาวข้ามเขตแดนประเทศ จากเอเชียกลางสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พม่า ลาว ไทยก่อนจะเริ่มทุเลาความเย็นสู่เส้นศูนย์สูตร”
อาจารย์หันกลับมามองนักศึกษาหน้าครั้งหนึ่ง
“แต่ไม่ใช่แค่แปะก๊วยที่รู้หนาว มีอีกสิ่งที่รู้ว่าหน้าหนาวกำลังจะมา และเริ่มเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ สิ่งมีชีวิตที่นำพวกคุณมารวมกันที่นี่... นก”
อาจารย์เปลี่ยนภาพสไลด์ กลายเป็นภาพนกหลากสีสันหลายวงศ์ที่ถูกนำมาซ้อนเกยกันนับร้อยตัว ไม้เมืองตื่นเต้นจนใจสั่น สายตากวาดมองนกที่เขารู้จัก พลางสมองคิดชื่อที่เขารู้จัก นกเหยี่ยวเพริกริน Falco peregrinus, นกแอ่นใหญ่คอยา Hirundapus caudacutus, เหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีน Accipiter soloensis ฯลฯ
“พวกเขาเหล่านี้อพยพกันทุกปี จากแผนที่ที่พวกคุณเห็น จากจีนลงสู่ไทย บ้างไปถึงสุมาตรา แต่นกพวกนี้ไม่รู้หรอก ว่าที่นี่คือจีน ที่นี่คือไทย ที่นี่คืออินโดนีเซีย พวกเขารู้จักแต่ท้องฟ้าและป่า นกไม่รู้เขตแดนประเทศ ดังนี้การอนุรักษ์ก็เช่นกัน... ป่าทุกแห่งคือบ้านของนก มีศรัทธาในป่าเถอะ ขอให้พวกคุณจำไว้ให้ดี”
และไม้เมืองก็จดจำสิ่งนั้นไว้ตลอดสามปีที่เรียนอยู่ที่นั่น
ความห่างไกลเยียวยาใจได้ ความสัมพันธ์ของเขากับแม่จึงทยอยดีขึ้นตามลำดับ แม่มักจะส่งภาพโปสการ์ดที่แม่ถ่ายรูปตอนเดินขึ้นดอยต่างๆ ให้เขา ทุกครั้งที่เห็นเขาอดยิ้มไม่ได้ แม่ยังสู้อยู่ ส่วนเขาเองก็สู้ในแบบของเขา ตั้งใจเรียน ทำใจให้แข็งแกร่งในโลกที่มีแต่ข่าวสลดทางสิ่งแวดล้อม เขียนจดหมายตอบกลับทางบ้านไม่ขาด และพยายามบินกลับไปเยี่ยมทุกคนในช่วงเทศกาล
กระนั้นความสัมพันธ์กลับมาร้าวฉานอีกครั้งในในทริปดูนกทอพยพที่เขาดินสอช่วงปลายเดือนตุลาคม ไม้เมืองลาเรียนเพื่อจะกลับมาประกาศต่อครอบครัวว่าเขาจะรับทุนไปศึกษาวิจัยเพนกวินอะเดลีนที่ขั้วโลกใต้ อังกฤษมีศูนย์วิจัยของตัวเองอยู่ชื่อว่าร็อธเธอร่า ชายหนุ่มพยายามให้เหตุผลว่างานวิจัยนกในทุกองคาพยพต่างมีบทบาทสำคัญ แต่กับแม่มันฟังไม่ขึ้น “แกเป็นบ้าอะไรกับคำทำนายโง่ๆ นั่นนักหนา!” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของแม่ที่เขาได้ยินก่อนจะเดินทางกลับไปเรียน รอบนี้ แม่ไม่ไปส่งเขาที่สนามบินด้วยซ้ำ
ดังนี้เมื่อเวลาล่วงถึงกาลสมควร ศูนย์วิจัยร็อธเธอร่าจึงเป็นจุดหมายถัดไป ไม้เมืองจำจากสวนดอก
ไฮเดรนเยียสรรพสีสัน ทางเท้าเทาเก่าครึ และฝนชุ่มชุกแห่งกรุงลอนดอน เดินทางข้ามเวิ้งมหาสมุทรสีกรมท่าไพศาลสู่ทวีปอเมริกาใต้ ยิ้มทักทายพอเป็นพิธีแก่ริ้วเขาหิมะคลุมและทุ่งหญ้าสเต็ปป์เหลืองแห้งแกมน้ำตาลแห่งภูมิภาคปาตาโกเนียของประเทศชิลี ก่อนจะต่อเครื่องบินจากเมืองปุนต้าอาเรน่า มุ่งตรงดิ่งใต้สู่ดินแดนที่สีขาวสว่างคือสัญลักษณ์บ่งบอกความแห้งแล้งอันทารุณที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ไม้เมืองเดินทางสู่ขั้วโลกใต้
เครื่องบินแดช-7 ลำแดงลอยดั้นเมฆและลมหนาว ระลอกลมปาดผิวทะเลเบื้องล่าง ตีฟองขาวตัดกับสีน้ำเงินลึกลับไม่ขาด อาจเป็นภาพเบื้องล่างนั้นที่ทำให้ไม้เมืองรู้สึกโดดเดี่ยว หรือไม่แล้วก็เป็นความคิดที่ว่าเขาต้องทิ้งชีวิตทางโลกไปปลีกวิเวกอยู่กลางแดนหิมะ
สถานีวิจัยร็อธเธอร่าห่างจากชายฝั่งปุนต้าอาเรน่าหนึ่งพันสองร้อยกิโลเมตร และปุนตาอาเรน่าห่างจากประเทศไทยหนึ่งหมื่นห้าพันกิโลเมตร สิริรวมกว่าหนึ่งหมื่นหกพันกิโลเมตรที่ไม้เมืองห่างจากบ้านเกิด หนึ่งหมื่นหกพันกิโลเมตรที่เขาห่างจากดอยระฟ้าและป่าหมอก กลิ่นหอมดอกปีบ เสียงหวีดวิดนกกรงหัวจุกป่า เสียงสาธยายมนต์วัตรเย็น เสาไฟฟ้าผูกสายไฟรกๆ ฤดูร้อนสิบเดือน ฤดูหนาวสิบวัน ผัดกะเพราไข่ดาว ข้าวซอยน่องไก่ ซูชิสายพาน ขนมจีบซอสพริก ภาษาไทยกลาง คำเมือง เมญ่า ท่าแพ
และแม่
หนึ่งหมื่นหกพันกิโลเมตรที่เขาไกลจากแม่
เขาไม่เคยคิดถึงบ้านตอนอยู่อังกฤษมากเท่าตอนมาที่นี่
ความคิดถึงบีบใจได้ไม่นานเครื่องบินพลันสั่นสะเทือนรุนแรง นักบินชูนิ้วโป้งขึ้นมาให้เขาเห็น ปกติดี ไม่ต้องกังวล ราวกับเขาจะบอกแบบนั้น ก็ปกติคุณไง แล้วมันปกติผมไหมล่ะ ไม้เมืองแย้งในใจ
ชายหนุ่มแอบคิดพิเรนทร์ว่าหากเครื่องบินตกก็จะเป็นโอกาสให้คำทำนายได้เกิดเป็นจริง บางทีอาจจะมีฝูงเพนกวินมาช่วยเขาที่ลอยคอกลางทะเลน้ำแข็งก็เป็นได้... ถ้าเขารอดถึงตอนนั้นน่ะนะ
แน่นอนว่าเครื่องบินสะท้านอยู่ได้ไม่นานก็กลับมาลอยลำปกติ และในที่สุด ณ เบื้องหน้าลิบตานั่น เขาเห็นแผ่นดิน
หลังการเดินทางเกือบห้าชั่วโมง หนุ่มนักวิจัยชาวไทยเดินทางมาถึงศูนย์วิจัยร็อธเธอร่าโดยสวัสดิภาพ
ผู้ดูแลศูนย์ที่ออกมาต้อนรับเด็กใหม่อย่างพวกเขาเป็นชายชราหัวโล้นไว้หนวดเคราขาว รอยยิ้มแจ่มจ้าประดับวาวตาสดใส เขาใส่ชุดเสื้อกันหนาวสีส้มโดดเด่นไม่ผิดจากที่เห็นในหนัง ไม้เมืองจำชายผู้นี้ได้จากภาพถ่าย เขาคือ ดร. แพร์รี่ โจนส์ วอร์เร็น นักวิชาการด้านสมุทรวิทยาเมืองผู้ดี ผู้ตีพิมพ์ผลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลและเส้นทางการอพยพของสัตว์น้ำเยือนในแถบขั้วโลกใต้อันเนื่องมาจากการลดลงของประชากรคริลล์จากภาวะโลกรวน ผู้เขียนหนังสือ “ความทรงจำสีน้ำเงินขาว” เพื่อรณรงค์เรื่องสุขภาพมหาสมุทรโดยยกบริบทขั้วโลกใต้เป็นตัวตั้งจนพิมพ์ขายดิบขายดีไปทั่วโลก คว้าทั้งรางวัลชนะเลิศหนังสือวิทยาศาสตร์ของรอยัลซอไซตี้ในอังกฤษและติดชอร์ตลิสต์รางวัลพูลิตเซอร์ในอเมริกา ผู้ดำเนินรายการซีรี่ส์ “ไม่มีหมีขั้วโลกในขั้วโลกใต้” สารคดีวิทยาศาสตร์ชวนขบขันที่ทำร่วมกับช่อง BBC เพื่อให้ความรู้เยาวชนและวัยรุ่น
อันที่จริง ไม้เมืองไม่เคยแตะหนังสือหรือดูรายการของ ดร. วอร์เร็นหรอก และที่รู้จักได้แค่เพราะเขาเป็นหัวหน้าศูนย์ แต่สิ่งที่ทำให้ไม้เมืองจำเขาไม่ลืมในครั้งนั้น หาใช่การต้อนรับอย่างอบอุ่นเท่าที่จะอบอุ่นได้ในดินแดนที่อุณหภูมิทั้งปีโดยเฉลี่ยติดลบเลขสองหลัก หรือเสียงหัวเราะกังวานตอนที่เด็กใหม่อย่างเขาเผลอลื่นหิมะก้นจ้ำเบ้า (“โดนรับน้องกันทุกรายสิ ฮ่าๆ” วอร์เร็นแซว) แต่เป็นสิ่งที่ชายชราคุยกับเขาขณะกินมื้อเย็นกันอยู่
“ได้ยินมาว่าคุณทำวิจัยเรื่องเพนกวิน น่าสนใจ ผมต้องยอมรับว่าไม่บ่อยนักที่จะมีนักปักษีวิทยามาที่นี่”
“ใช่ครับ มาศึกษาพฤติกรรมและจำนวนประชากรเพนกวินอะเดลีน เหมือนที่เขียนเล่าในจดหมาย”
“เป็นเรื่องที่ดี ไม่กี่คนที่จะมีโอกาสเลือกความสุข”
คำพูดทำชายหนุ่มฉงน “ยังไงนะครับ”
วอร์เร็นยิ้มตอบ หากแต่สายตาเด็ดขาดจริงจัง
“เขาว่ากันว่านักสิ่งแวดล้อมอย่างเราไม่ได้ศึกษาธรรมชาติหรอก เราศึกษาบาดแผล... บาดแผล ซากศพ ความตาย ของโลกและสิ่งที่อยู่ในโลก และน้อยนักที่ผู้ทำงานตรงนี้จะเป็นสุขได้”
วอร์เร็นหมายถึงเขาโชคดี เพราะถึงประชากรของนกเพนกวินทั่วโลกจะลดลง แต่อย่างน้อยอะเดลีนจะไม่สูญพันธุ์ในเร็ววันหรือเร็วปี ไม่เหมือนคนที่ทำงานกับผืนป่าที่กำลังถูกเปลี่ยนเป็นเขื่อน คนที่ทำงานกับแรดแอฟริกันที่ถูกล่าเอานอ หรือคนที่ทำงานกับพะยูนเพื่อไม่ให้มันถูกประกาศเป็นสัตว์สูญพันธุ์ในไทย
ไม้เมืองพยักหน้าตอบน้อยๆ ปากยังเคี้ยวขนมปังอยู่
“ผมถามคุณหน่อยสิ ไม้มวง” ชายชราเอ่ย ไม่อาจออกเสียงสระเอือในชื่อเขาได้ “ถ้าวันหนึ่งอะเดลีนตัวสุดท้ายตายไปแล้ว คุณจะทำยังไงต่อ”
ในการศึกษาวิจัยพฤติกรรมของนกเพนกวินทำได้ไม่ยากนัก สายตาและปฏิภาณคือเครื่องมือ และไม้เมืองมั่นใจว่าเขามีพร้อม เป็นเรื่องประชากรต่างหากที่เขาหนักใจ โดยปกติกลุ่มนักวิจัยจะแบ่งเขตที่อยู่อาศัยของนกเพนกวินแล้วแบ่งงานกันทำ ใช้สายตานับในเบื้องต้น ทวนซ้ำสามรอบอย่างต่ำเพื่อไม่ให้คลาดเคลื่อนมากเกินไป และในพื้นที่ที่เอื้ออำนวย การบินโดรนเก็บภาพถ่ายก็เป็นอีกเครื่องมือที่ประหยัดแรงได้ดียิ่ง
อนิจจา ไม้เมืองขาดแคลนทั้งทรัพยากรคนและทรัพยากรโดรน
สิ่งที่เขาทำได้ คือยืนถือเครื่องนับดิจิตอลในมือข้างหนึ่ง สมุดและดินสอในมืออีกข้างหนึ่ง ปากสบถว่าหนาวฉิบหาย ก่อนจะเริ่มทำงาน ในบางวันเขายืนอยู่กลางดงนกเพนกวินที่เดินขวักไขว่ส่งเสียงร้องระงม มองจากไกลเขาคล้ายวาทยากรผู้บรรเลงซิมโฟนี่โดยมีกลุ่มนักดนตรีสีขาวดำตัวจ้อยที่บรรเลงเส้นเสียงโดยไม่สนใจเขาสักนิด ในบางวันเขาถอยไปยืนอยู่เหนือยอดเขาเตี้ยๆ แลดูคล้ายชายในภาพเขียนสีน้ำมันเลื่องชื่อ “นักพเนจรเหนือทะเลหมอก” ของฟรีดริช คัสปาร์ ทว่าต่างกันที่เบื้องหน้าเขาไม่ใช่ทะเลหมอก แต่กลับเป็นฝูงนกเพนกวินและแผ่นน้ำแข็ง
ไม้เมืองสนิทกับวอร์เร็นกว่าที่เขาคาดคิด อาจเป็นเพราะท่าทีอบอุ่นและอารมณ์ขัน หรือเพราะคุณวุฒิและวัยวุฒิที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยในดินแดนร้างไร้แห่งนี้ หากจะมีอะไรที่ขัดใจ ก็คงเป็นทัศนคติบางประการที่ ‘คร่ำครึ’ ไปเสียหน่อย
“ได้ยินมาว่าเดี๋ยวนี้มีอาชีพที่เรียกว่าสตรีมเมอร์เหรอไม้มวง ที่นั่งเล่นเกมให้คนมาดู ใครชอบก็ให้เงิน”
“ใช่ครับ” ไม้มวงเริ่มจับน้ำเสียงได้ว่าวอร์เร็นกำลังกลายร่างเป็นตาแก่ขี้บ่น
“ผมไม่เห็นเข้าใจเลย มันเป็นอาชีพไปได้ยังไง มันก่อประโยชน์อะไรบ้าง แล้วคนดูทำไม”
“ก่อนผมมาอยู่ผมก็ดูนะครับ สนุกดี เรียนเหนื่อยๆ ไม่มีเวลาเล่นเองหรอก หรือเราก็อาจจะเล่นไม่เก่ง ผมว่ามันก็เหมือนดูบอลนั่นแหละ เป็นสื่อบันเทิงอย่างหนึ่ง”
วอร์เร็นส่ายหน้าพลางถอนหายใจ โลกหมุนไวเกินกว่าเขาอยากจะเข้าใจ
“ว่าแต่คุณดูเขาเล่นเกมไหนล่ะ”
ไม้เมืองยิ้มอายเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “โปเกมอนครับ”
ชายชราระเบิดเสียงหัวเราะ ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มอาย แต่ไม่นานนักท่าทีก็สงบลง วอร์เร็นถอนหายใจยาว
“ซูซานก็ชอบโปเกมอน ที่มีไอ้เจ้าหนูสีเหลืองมีไฟฟ้านั่น” เขาเอ่ย ซูซานคือเพื่อนนักวิจัยอีกคนที่อยู่ที่นี่
ไม้เมืองบอกเขาว่ามันชื่อปิกาจู วอร์เร็นพยักหน้าก่อนจะถามต่อ “คุณรู้ไหมว่าใครสร้างโปเกมอน”
“ผม... ไม่ครับ” เขาตอบอายๆ
“ซาโตชิ ทาจิริ”
“อ้อ! ซาโตชิ ใช่ครับ ชื่อเหมือนตัวละครหลักในการ์ตูนเลย”
“คุณรู้ไหมทำไมเขาสร้างโปเกมอนขึ้นมา” เมื่อไม่เห็นไม้เมืองตอบ เขาจึงกล่าวต่อ “เพราะซาโตชิชอบสะสมแมลงอย่างยิ่ง ในวัยเด็กเขาจะออกไปเล่นข้างนอก ในสวน ในป่า บนเขา และตื่นตาตื่นใจกับแมลงใหม่ๆ เมื่อโตขึ้น ความรักธรรมชาติบันดาลใจให้เขาสร้างเกมโปเกมอนขึ้นมา เกมที่เราเล่นเป็นนักชีววิทยาจำแลง สะสม บันทึก และจำแนกสิ่งมีชีวิต... แต่กลายเป็นว่าเกมที่สร้างขึ้นมาจากความผูกพันกับธรรมชาติกลับทำให้คนห่างออกจากธรรมชาติมากขึ้น ตลกร้ายสิ้นดี”
เมื่อเห็นว่าไม้เมืองเงียบยอมรับโดยดุษณี วอร์เร็นก็ทิ้งท้ายให้อีก
“เราต้องรู้ว่าข้างนอกนั่นมีอะไรบ้าง และมีใครอยู่อีกบ้างนอกจากเรา ไม้มวง มนุษย์เรารักสิ่งที่เรารู้จัก ถ้าเราไม่ออกไปรู้จัก เราจะรักมันได้ยังไง”
ไม้เมืองอดคิดไม่ได้ว่าบางทีความคิดของวอร์เร็นก็อาจจะไม่ได้ ‘คร่ำครึ’ เสียทีเดียว
เวลาสองเดือนครึ่งผ่านไปไวกว่าคาด และไม้เมืองมีข้อมูลสำหรับเขียนงานวิจัยมากพอ แม้เขาไม่แน่ใจว่ามันมากพอจะออกมาเป็นงานวิจัยที่ดีนัก
เขาไม่แน่ใจเลยว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรแล้วบ้าง จริงอยู่ว่าที่นี่รับสรุปข่าวรายวันจากอินเทอร์เน็ตดาวเทียม แต่นั่นล้วนเป็นข่าวสำคัญ ทรัพยากรที่มีต้องใช้อย่างจำกัดและให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด การติดต่อสื่อสารกับคนใกล้ตัวจึงทำได้ยาก มากที่สุดที่ไม้เมืองทำได้คือส่งจดหมาย อย่างน้อยก็ต้องเขียนขึ้นมาสัปดาห์ละฉบับ ฝากให้เครื่องบินบินกลับไปส่ง ส่วนเครื่องบินจะมีคิวบินกลับไปยังฝั่งที่ปุนต้าอาเรน่าหรือไม่ สุดแท้อยู่กับดวง
ดวง... หรือไม่ก็เหตุฉุกเฉิน เหมือนตอนที่เขาได้รับจดหมายจากทางบ้านเรื่องแม่
เป็นวอร์เร็นที่นำจดหมายมาให้เขา และไม่นาน ก็เป็นซูซานที่เข้ามาปลอบเขาตอนเขาเริ่มร้องไห้สะอึก
สะอื้น มือและสายตาจับจดหมายสั่นระริก เป็นบราวน์ที่ยืนยันกับเขาว่าการเดินทางกลับกะทันหันจะไม่ส่งผลกระทบต่องานวิจัยและเงื่อนไขทุน และเป็นวอร์เร็นอีกครั้งที่เข้ามาบอกให้เก็บของขึ้นเครื่องบินกลับวันนี้ได้เลย
ในจดหมายบอกว่าแม่ล้มป่วย และอาการไม่ดีนัก แต่ความจริงคือเขาไม่มีทางรู้ เขารู้ดีว่าจดหมายประเภทนี้บอกไม่หมด และต่อให้เขาวิดีโอคอลไปหาที่บ้านทันทีที่เครื่องแลนดิ้งและมีสัญญาณไวไฟ ก็ได้คำตอบจากน้องสาวเพียงแค่ แม่ป่วย นอนพักอยู่ในโรงพยาบาล
แต่แล้วไหนภาพแม่ แล้วไหนเสียงแม่ แล้วไหนล่ะแม่
หากจะมีอะไรที่จดหมายบอกแก่เขา ก็มีแค่ว่าเขาต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้
การเดินทางลัดฟ้ากว่าหนึ่งหมื่นหกพันกิโลเมตรไม่ได้ทำให้ไม้เมืองเหนื่อยเท่าความคิดที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับแม่เขา สำหรับไม้เมือง เวลาในห้วงจิตราวถูกหยุดตั้งแต่ที่เขาสวมกอดลาคนที่ร็อธเธอรา และกลับมาเดินอีกครั้งตอนที่พ่อและน้องสาวกอดต้อนรับเขาที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่
ปิ๊กอัพอิซูซุสีบลอนด์เคลื่อนตัวออกจากสนามบิน จากแสงสว่างไสวสู่แสงไฟเว้นระยะริมทาง จากเสียงอึกทึกจอแจสู่ความสงัดยามราตรี ภายในรถเงียบนิ่งเหมือนกับบรรยากาศยามดึกของนอกรถ พ่อมีสภาพอิดโรยเพราะความเครียดกอปรกับอดนอนสะสม จึงเป็นน้องสาวเขาที่นั่งหลังพวงมาลัยที่เล่าเรื่องแม่ให้เขาฟัง
ตลอดการเดินทางไม้เมืองตั้งใจฟังทุกคำพูดอยู่เงียบๆ มีแทรกถามบ้างประปราย แต่ที่พูดอยู่ตลอดคือน้องสาว นุ่มนวลเนิบช้าอย่างใจเย็น ทว่าความเหนื่อยล้าอัประมาณดังก้องอยู่ในน้ำเสียง
เมื่อถึงบ้านไม้เมืองพูดออกมาสองสามคำ ก่อนจะเดินผละออกไปไม่สนคำทัดทาน เหมือนที่ไม่เคยมีใครห้ามเขาได้ จัดแจงโยนกระเป๋าและสัมภาระทิ้ง ตรงดิ่งเข้าไปหยิบกระเป๋าเดินป่า มือถือแนบหูต่อสายตรงถึงเพื่อนสนิทที่พอมีเส้นสาย พลางรื้อตู้รื้อเก๊ะหาอุปกรณ์จำเป็น ไฟฉาย แบตเตอร์รี่ ถุงเท้ากันทาก ผ้าใบกันฝน เข็มทิศ ถุงยาปฐมพยาบาล ซึ่งเป็นน้องสาวเขาที่จัดมาให้ เดินเข้ามามอบให้เขาในห้องพร้อมกอดแน่นกว่าแน่น ราวกับจะเสียใครไปไม่ได้อีกแล้ว “พี่กลับมานะ... พี่พาแม่กลับมาด้วย” เธอสะอื้นพูดทั้งน้ำตา
“ภายหลังรับแจ้งจากนักท่องเที่ยวว่ามีผู้ได้ยินเสียงร้องของนกโพระดกปีกแดง ณ ดอยซุงสล้าง ดร.
นิมล มานลิขิตได้ออกเดินทางตามหาด้วยตัวเอง ทว่ากลับขาดการติดต่อไปเป็นเวลา 22 วันแล้ว และทางการยังนิ่งนอนใจ อ้างว่าเหตุการณ์การหายตัวไปของด็อกเตอร์หญิงไม่ใช่ครั้งแรก ประกอบกับดอยซุงสล้างเป็นพื้นที่ที่มีความสลับซับซ้อน ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวนัก จึงไม่มีเส้นทางการเดินสำรวจประจำ อย่างไรก็ตาม ได้มีการประสานงานเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ออกตามหา (ไม่จริง ไม่มีใครกระดิกตีนอะไรทั้งนั้น) โดยนกโพระดกปีกแดง หรือ Megalaimidae Manalikitus เป็นนกที่ไม่มีผู้พบเห็นเป็นเวลามานานเกือบยี่สิบปีจนคาดการณ์กันว่าอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว”
ไม้เมืองมองข้อความสรุปข่าวในมือถือที่เขาส่งให้เพื่อนที่ทำงานกับสถานีโทรทัศน์เจ้าใหญ่ นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่เขาส่งได้ก่อนสัญญาณโทรศัพท์จะหายไป หวังว่าเพื่อนจะช่วยเรียบเรียงให้เป็นภาษาข่าวกว่านี้ และหวังยิ่งขึ้นไปอีกคือสื่อกระแสหลักจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
เสียงร้องแปร๋นลั่นดึงให้เขากลับไปสนใจอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน เขาเก็บมือถือ กวาดตามองเห็นหมู่พันธุ์ไม้ใบเขียว ผืนดินดำคลุมใบไม้ ผืนฟ้าทึมคลุมเมฆเทา ลมอ่อนพัดส่ายได้เพียงหมู่ใบเรือนยอด ส่วนอาณาจักรพืช เห็ด รา และสรรพชีวิตเบื้องล่างกลับไม่ไหวติง
ชายหนุ่มค่อยๆ วางมือลงบนผิวหยาบกร้านของช้างเชือกที่เขานั่งอยู่
“ใจเด็ดนะพี่ มาออกตามหาคนเดียว” ควาญช้างที่นั่งอยู่ด้านหน้าเอ่ย หนุ่มหน้ามนใส่เสื้อม่อฮ่อมอายุอ่อนกว่าเขาไม่กี่ปี แต่ฝีมือคุมช้างเป็นที่โจษจันทั้งปาง ต้องขอบคุณเส้นสายของครอบครัวเขาที่ไปหาจ้างมาได้
“แม่ผม ผมก็ต้องมา ไปรอไอ้พวกนั้นมันช่วย รอชาติหน้าเถอะ”
“ชาติหน้าก็ไม่มีหรอกพี่ ป่านี้เจ้าที่แรง”
“น้องหมายถึงเจ้าป่าเจ้าเขาเหรอ”
“เจ้าที่เนี่ยแหละพี่ เจ้าป่าเจ้าเขาหอบเสื้อผ้าเผ่นไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว บ้านหาย”
ไม้เมืองถึงบางอ้อ สบถด่าไอ้พวกมีเส้นสายลักลอบตัดไม้ในใจ อดคิดไม่ได้ว่าหรือที่แม่เขาหายไป...
“ถึงทางชันข้างหน้าพี่ต้องลงเดินแล้วนะ”
“ขอบใจน้องมาก ขอบใจเอ็งด้วย พลายผจญ” ไม้เมืองว่าพลางลูบหลังช้างเบาๆ
“ผมก็ช่วยพี่ได้เท่านี้ พี่ดูแลตัวเองดีๆ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว” ควาญช้างหนุ่มพูดพลางแหงนหน้ามองฟ้า
“ฝนอะไรมันตกเดือนนี้”
“ฝนเจ้าที่บันดาลไงพี่ ตัดไม้ขนาดนี้ แถมโลกมันรวนไปหมด ปีหน้าหิมะตกผมก็ไม่แปลกใจ”
ไม้เมืองยืนมองควาญช้างและพลายผจญเดินกลับหายไปในทางเดิม ส่วนเขาเองย้อนกลับไปในอดีต ถึงวันวัยไร้เดียงสา ที่เคยคิดว่าถ้าหิมะตกในเมืองไทยคงสวยน่าดู หิมะตกปุ๊บ ฉิบหายปั๊บ ต้นไม้ทั้งประเทศที่เป็นพืชเมืองร้อน ตายห่าหมด! คุณปู่บอกเด็กชายไม้เมืองด้วยสีหน้าทีจริงแต่น้ำเสียงทีเล่น มีเสียงขำคิกของแม่ที่ยืนปอกมะม่วงอยู่ในครัวลอยมา
“แม่...”
หนึ่งคนหายไปในป่า อีกคนออกตามหา โอกาสมีกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะเจอ มีเท่าไรที่จะหายกันไปทั้งคู่
ไม้เมืองสูดหายใจลึก ไม่มีเวลาพิรี้พิไรอยู่ในอดีต ทั้งไม่มีเวลามากพอจะพะวงกับอนาคต ชายหนุ่มออกก้าวเดิน ย่ำเท้าลงบนซากและเศษใบไม้ที่กำลังกลายเป็นปุ๋ยของป่า สายตามุ่งไปด้านหน้า คอยจับสังเกตสิ่งปกติที่อาจมี ทั้งสัตว์อันตรายและรอยบากต้นไม้ที่อาจเป็นฝีมือคน หากข้อมูลที่เขาได้มาถูกต้อง จุดที่มีคนอ้างว่าได้ยินเสียงนกโพระดกปีกแดงอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกอีกสิบสี่กิโลเมตร แม่ต้องมุ่งไปที่นั่นแน่
ในสายตาของหมู่สัตว์และมวลไม้ จะพบสิ่งมีชีวิตประหลาดร่างหนึ่งที่เรียกเผ่าพันธุ์ตัวเองว่าผู้มีปัญญา Homo sapiens เดินเท้าอย่างจนปัญญาอยู่ใจกลางป่าดอย อาบเหงื่อและฝนพรำครั้งคราวต่างน้ำอยู่ชั่วเช้าชั่วเย็น คอยเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบของสัตว์ป่าและพงไพรที่ไม่อาจแปลออก ตกค่ำผูกเปลกับไม้รัง ปากบ่นพึมพำภาวนาต่อเจ้าป่าเจ้าเขาด้วยภาษาที่สัตว์ป่าและพงไพรก็ไม่อาจแปลออกเช่นกัน และในเวลาไม่นาน ข่าวสารของผู้มาเยือนก็กระจายออกอย่างรวดเร็วทั้งป่าดอย ไม่ใช่สู่คน แต่สู่พืชและสัตว์ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ผ่านเครือข่ายเห็ดรา ณ รากไม้ สารเคมีปากใบ ละอองเกสร และไปรษณีย์อย่างแมลงและหมู่นก เช่นเดียวกันกับที่ข่าวแพร่สะพัดไปในเมืองมนุษย์ ว่าบัดนี้มีหนุ่มใจแกล้วกตัญญูออกตามหาแม่ในป่า เรื่องราวเป็นประหนึ่งนิทานผจญภัย แต่เพราะเช่นนั้นมันจึงได้ทรงพลัง เหมือนวรรกรรมหรือนิยายสักเรื่อง และกระแสโซเชียลก็โหมรุนแรงอย่างฉบัพลันจนผู้มีอำนาจไม่อาจทาน แต่ไม้เมืองที่อยู่ในอ้อมออกป่าเขาไม่อาจรู้เรื่องนี้
คืนหนึ่งในฝัน และไม้เมืองรู้ว่าเขาฝัน เขาฝันถึงวันนั้น วันที่แม่ลุกหนีไปนอกบ้านตอนที่รู้เรื่องเขาจะไปเรียนต่อ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม แม่เดินกลับมาหาเขา เรียกเขาออกไปเดินคุยในป่า เป็นเวลากลางคืนดึกดื่น และเขาลุกตามออกไปอย่างว่าง่าย ในฝัน เขาคิด แม้แม่ไม่เรียก เขาก็จะไปหา แม่เดินนำเร็วมากจนเขาตามเท่าไรก็ตามไม่ทัน เฉกเช่นองคุลีมาลไล่ตามพระพุทธเจ้า ต่างกันตรงที่แม่ไม่หยุด
จู่ๆ แม่ก็เอ่ยขึ้น เสียงก้องในความมืด “เราเสียนกชายเลนปากเรียวไปแล้ว”
Numenius tenuirostris
ไม้เมืองตอบในใจ นั่นเป็นพันธุ์นกที่ได้รับการประกาศว่าสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการเมื่อปีก่อน เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่านี่คือความฝัน
“หากไม่มองออกไปไกล ในทะเล เราเสียพะยูนไปกว่า 80 ตัวในระยะเวลาสองปี ในแม่น้ำ ปลาหมอคางดำที่เป็นเอเลี่ยนสปีชีส์กำลังกวาดล้างความหลากหลายของพันธุ์ปลาท้องถิ่นไทย ในอากาศ เราเสียสิทธิ์อากาศบริสุทธิ์ให้กับฝุ่น PM 2.5 เกือบทั้งปี” แม่ยังคงเดินต่อไป “เรายังมีหวังอยู่ใช่ไหม”
ไม้เมืองไม่รู้จะตอบแม่อย่างไร เป็นจริงที่สถานการณ์ทั่วโลกจมอยู่กับความสิ้นหวัง ไม่ใช่แค่ในไทย ประชากรสัตว์ลดลงเรื่อยๆ อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศแปรปรวน แนวปะการังฟอกขาว การทำอุตสาหกรรมจับสัตว์น้ำเกินขนาด การเปลี่ยนป่าเป็นไร่ เป็นเมือง เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ป่า เราคิดค้นเทคโนโลยีมากมายด้วยหวังจะช่วยโลกให้รอด ทั้งที่คำตอบอยู่กับเรามาตลอดประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
“ถ้าวันหนึ่งอะเดลีนตัวสุดท้ายตายไปแล้ว คุณจะทำยังไงต่อ”
นั่นสินะ... เขาจะทำอย่างไรต่อ
ไม้เมืองมองไปที่แม่ แม่ผู้ยังไม่หยุดเดิน ไม้เมืองไพล่คิดไปว่า ในความฝันและความจริง แม่ก็เป็นแบบนี้ แม้มุ่งไปข้างหน้าต่อเสมอไม่ว่าใครจะว่าอะไร ความสิ้นหวังไม่อยู่ในพจนานุกรมของแม่ และไม่ควรอยู่ในพจนานุกรมของผู้วางใจไว้ในธรรมชาติ
“มีศรัทธาในป่าเถอะ”
บางที คำถามนั้นของแม่ ก็เป็นแม่ในฝันนี่เองที่ให้คำตอบชัดอยู่แล้ว เหมือนที่แม่ออกตามหานกอย่างเด็ดเดี่ยว เหมือนที่เขาออกตามหาแม่อย่างเด็ดเดี่ยวเสมอกัน
“แม่ ผม...”
ไม้เมืองสะดุ้งตื่น ลืมตาพร่ามัวเห็นทะเลดาวเบื้องบน ประกายจุดสีขาวดารดาษระดะทั่วเวิ้งฟ้าต่างสั่นไหวไปมา ชายหนุ่มตั้งสติจึงระลึกรู้ได้อยู่สามอย่าง อย่างแรกคือไม่ใช่ดาวที่เคลื่อน แต่เป็นเขาเองต่างหากที่ส่ายไหวไปมา อย่างที่สองคือเขาไม่ได้อยู่นเปลผูก แต่เป็นหลังช้างที่กำลังไสกายฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกราก อย่างที่สามคือเขาหนาว ร่างกายเปียกโชกตั้งแต่หัวยันเท้า หยดฝนประพรำบนใบหน้า ทั้งยังเจ็บศีรษะอยู่ตุบๆ
เมื่อเขาพยายามจะหยัดกายนั่งจึงได้พบกับอย่างที่สี่ คือเพียงเขาขยับขา ความเจ็บร้าวเจียนตายก็แล่นปราดไปทั้งร่างจนเก็บเสียงร้องไว้ไม่ได้ เรียกความสนใจจากควาญช้างใต้เสื้อกันฝน
“ฟื้นแล้วหรอพี่” ควาญช้างเอี้ยวตัวมาถาม เมื่อเห็นหน้าเจ็บปวดผสมฉงนจึงอธิบายต่อ “พี่แขวนพระไหม ทำบุญวัดไหนถึงรอดมาได้เนี่ย โคตรโชคดีเลย ฝนหลงฤดู ตกจนน้ำป่าหลากฉับพลัน เพราะข่าวพี่กับแม่พี่คนเลยแห่กันมา น้ำหลากทีก็มีแต่ช้างเข้ามาได้ เขาเรียกพวกผมมาช่วยกู้ภัยกันทั้งปางเลย ตอนแหวกน้ำมานี่ซุงสักเป็นร้อยๆ พี่รู้ไหม แล้วนอกจากซุงก็มีพี่เนี่ยลอยมาด้วย ตอนแรกคิดว่าเก็บศพพี่แน่แล้ว แต่เอ้ออัศจรรย์พี่ยังไม่ตาย ผมนี่ยกมือขึ้นสาธุเลย คนดีผีคุ้มแท้ๆ แล้วเอ้อพี่— เอ้ย!”
ไม้เมืองออกแรงเอื้อมคว้าชายเสื้อกันฝนของควาญช้างหนุ่ม เพราะตอนที่ควาญหนุ่มเอี้ยวตัวมาเล่า ไม้เมืองเห็นไม่ถนัด แต่เมื่อลองดึงมาแล้วจึงเผยลายเสื้อกันฝนชัดขึ้น
เป็นรูปนกเพนกวินกางร่ม
“วันหนึ่ง นกเพนกวินจะช่วยชีวิตหนู!”
คำพูดก้องในหัวอีกครั้ง ไม้เมืองอดแค่นหัวเราะไม่ได้ ก่อนที่จะทิ้งตัวกลับไปนอนแผ่
“นกเพนกวินช่วยชีวิตผมจริงๆ นะครับแม่” เขาหลับตาลง เสียงกระซิบแผ่วเบา “แม่ครับ...”
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะอื้นไห้ไร้อาย ควาญหนุ่มก็แทรกขึ้นก่อน “เอ้อพี่ เรื่องแม่พี่อะ”
ไม้เมืองใจเต้นแรง เขาอาจต้องยอมรับความจริง ทว่าในใจก็ยังภาวนาต่อขุนเขา ผืนแผ่นดิน และโลกทั้งใบ ถ้าหากแม่...
“เขาช่วยกันออกมาแล้วนะพี่ แม่พี่ไปซุ่มตามถ่ายภาพพวกเจ้าที่เสียนาน ในภาพเห็นหน้าไอ้พวกเวรตะไลนั่นชัดแจ๋ว เดี๋ยวพี่รอดูข่าวพรุ่งนี้เลย”