ชุมชนบ้านไหนหนัง จังหวัดกระบี่
ฟื้นป่าชายเลนและชายฝั่ง เพื่อปากท้องของคนในชุมชน รักษ์ถิ่นอาศัยของสัตว์ผสมเกสร สู่ต้นแบบกลุ่มการเลี้ยงผึ้งระดับโลก
ชุมชนบ้านไหนหนังเป็นชุมชนประมง ทั้งที่เป็นชาวมุสลิมและจีน ซึ่งได้ร่วมกันกำจัดและหยุดยั้งทำประมงแบบทำลายล้างของเรืออวนลาก อวนรุน นำไปสู่การทำสัตยาบันร่วมกันเพื่อเลิกใช้โป๊ะน้ำตื้น สร้างกระแสการเปลี่ยนแปลงให้ชาวประมงเลิกการใช้โป๊ะน้ำตื้นในจังหวัดกระบี่ในที่สุด จากนั้นได้รวมกลุ่มฟื้นฟูป่าชายเลนกว่า 6,000 ไร่ ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทชุมชน ในปี พ.ศ. 2561 จนถึงปัจจุบัน ชุมชนยังดำเนินการด้านการอนุรักษ์ พัฒนาพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับและเก็บกักคาร์บอน ฟื้นฟูนากุ้งร้างคืนสู่ระบบนิเวศป่าชายเลน รวมถึง ฟื้นฟูหญ้าทะเล 1,030 ไร่ เป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ และเขตอนุรักษ์หอยชักตีน 50 ไร่ รวมถึงการปลูกต้นจากในพื้นที่ป่าชายเลน จัดทำบ้านปลา ธนาคารปู ธนาคารแหอวน หรือการเก็บขยะในทะเล
ผลสำเร็จจากการฟื้นฟูป่าชายเลน ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำกลับมาอุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญป่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของผึ้ง ชาวบ้านได้เลี้ยงผึ้ง ขยายเป็นศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงผึ้ง ซึ่งสามารถรวบรวมสายพันธุ์ได้ถึง 15 ชนิด ทำรายได้ให้ชุมชนถึงปีละ 14-15 ล้าน โดยได้รับการยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบด้านการเลี้ยงผึ้ง (bee culture) จากสหประชาชาติ ในปี 2563 สร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับชุมชน เกิดเป็นแรงจูงใจในการดูแลทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่สมบูรณ์และขยายพื้นที่ป่าให้เพียงพอกับความต้องการของผึ้ง นอกจากนี้ชุมชนได้พัฒนาและจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชน มีกิจกรรมชมป่าชายเลน และแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล
ความเข้มแข็งของชุมชนสะท้อนถึงทำงานร่วมของผู้นำทางศาสนา ผู้นำท้องถิ่น กลุ่มสตรี และกลุ่มเยาวชน มีการสืบทอดการอนุรักษ์สู่คนรุ่นที่ 3 และทำงานร่วมกับภาคีภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้งานอนุรักษ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนหนุนเสริมซึ่งกันและกัน
ภูมิหลังของชุมชน
ในช่วงปี พ.ศ. 2426 ประชาชนจำนวนมากดิ้นรนอพยพย้ายถิ่นฐานหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ในช่วงนั้นชาวจีนจากเกาะไหหลำมีการค้าขายทางเรือกับชาวจีนจากเกาะปีนัง ชาวมุสลิมจากเกาะลังกาวี และชาวจีนจากอำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ชาวจีนเกาะไหหลำได้แล่นเรือสำเภามาค้าขายที่เมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต ระหว่างการเดินทางไปจังหวัดตรัง ต้องเผชิญกับพายุรุนแรง จึงหลบพายุพักแรมในร่องคลองบ้านไหนหนังเป็นเวลาหลายเดือน ต่อมาสองพี่น้อง โต๊ะสีตุงกาและโต๊ะสีรายา พร้อมด้วย แป๊ะรัดฮู และแป๊ะยอง 4 ครัวเรือน ได้ตั้งถิ่นฐาน ณ หมู่บ้านไหนหนัง เนื่องจากเห็นว่าเป็นพื้นที่ตั้งชายทะเล ทำมาหากินได้สะดวก มีพื้นที่ทำการเกษตรได้ ทั้งปลูกข้าว ผัก ผลไม้ได้ ในทะเลก็สามารถหา กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นอาหารได้ และตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “สุไหงกะหนัง” ซึ่งเป็นภาษามาลายู แปลว่า “สุขสบาย” ต่อมาครูวัลย์ เนื้อนุ้ย ครูใหญ่ประจำโรงเรียนบ้านไหนหนัง ได้มีการเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็น “บ้านไหนหนัง” ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบความหมายที่แน่ชัด
ความโดดเด่นของผลงานรางวัลลูกโลกสีเขียวประเภทชุมชน ปี 2561
ชุมชนบ้านไหนหนัง ได้ต่อสู้กับการทำประมงแบบทำลายล้างมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทรัพยากรชายฝั่งของตนเอง จาก เรืออวนลาก อวนรุน จนถึงขั้นที่ชาวบ้านต้องเอาชีวิตเข้าแลก เมื่ออวนลาก อวนรุน หมดไปจากพื้นที่ ต่อมาได้นำประสบการณ์การต่อสู้มาใช้ในการเลิกใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายล้างอื่นๆ ด้วยการทำสัตยาบันเลิกใช้โป๊ะน้ำตื้นภายใน 3 ปี ซึ่งสร้างกระแสให้หมู่บ้านประมงในจังหวัดกระบี่ค่อยๆ เลิกใช้โป๊ะน้ำตื้นจนหมดไป ชมชนร่วมกันดูแลและฟื้นฟูป่าชายเลน 6,000 ไร่ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติคลองกาโหรด ป่าคลองหิน โดยได้มีการแบ่งพื้นที่ป่าชายเลนออกเป็นเขตต่างๆ เพื่อการจัดการที่เหมาะสม เช่น เขตไข่แดง 15 ไร่ เขตไข่ขาว 500 ไร่ เขตพิทักษ์ป่าชายเลน รักสัตว์น้ำ บริเวณคลองไครใต้ 700 ไร่และบริเวณคลองไหนหนัง 800 ไร่ และป่าชายเลนที่ชุมชนดูแลอีก 3,985 ไร่ นอกจากนี้มีการปลูกป่าทดแทนในนากุ้งร้าง 5 ไร่ สร้างบ้านปลาจากท่อน้ำเหลือใช้จำนวน 8 จุด 300 ลูก ตั้งกลุ่มวิสาหกิจเลี้ยงผึ้ง เพื่อเชื่อมโยงการอนุรักษ์ป่าชายเลนกับปากท้องของคนในชุมชน ส่งผลให้มีการลดใช้สารเคมีกำจัดศรัตรูพืช การสร้างธนาคารปู บ้านไหนหนังจึงเป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับปากท้องของชุมชน ทดแทนอาชีพปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน พืชเศรษฐกิจที่เติบโตบนความผันผวนของราคา
การปรับเปลี่ยนหลังจากได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทชุมชน ปี 2561
ชุมชนยังคงรักษาพื้นที่ป่าชายเลนกว่า 6,000 ไร่ โดยแบ่งเป็น เขตไข่แดง 50 ไร่ ซึ่งเป็นอนุรักษ์หอยจุ๊บแจง เพื่อแหล่งขยายพันธุ์โดยห้ามเก็บ หากฝากฝืนปรับ 500 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม พื้นที่ป่าคาร์บอนไดออกไซด์ 771 ไร่ สามารถจับสัตว์น้ำได้ แต่ห้ามตัดต้นไม้ พื้นที่ป่าใช้สอย 100 ไร่ ประกอบด้วย บ้านไหนหนัง 50 ไร่ และบ้านคลองไคร 50 ไร่
การฟื้นฟูป่าชายเลนในนากุ้งร้างโดยความร่วมมือขององค์กร Mangrove Action Project (MAP) ใน 2 บ่อ พื้นที่ประมาณ 5 ไร่ ซึ่งสถานีพัฒนาป่าชายเลนที่ 32 ได้ยึดคืนมาจากผู้เลี้ยงนากุ้งในพื้นที่ป่าชายเลน โดยใช้วิธีปิดทางน้ำให้ฝักของพันธุ์ไม้ชายเลนเข้ามาในบ่อ แล้วทำซุ้มไม้ดัก (EMR) โดยมีพันธุ์ไม้ประกอบด้วย ลำพูเบิกนำ ตามด้วย แสมขาว ถั่วดำ ถั่วขาว จาก โกงกาง เป้ง แก้มหมอ แสมดำ เหงือกปลาหมอ ขรู หวายลิง ตีนเป็ด ตะบูนดำ ปีใหญ่ ย่านถอบแถบ ปรงแดง หลุง
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 100 ไร่ ในปี พ.ศ. 2567 โดยจัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะทาง 750 เมตร ได้รับสนับสนุนงบประมาณจากจังหวัดกระบี่ เป็นเงิน 10 ล้านบาท
การดูแลป่าชายเลน 4,974 ไร่ ดูแลและฟื้นฟูหญ้าทะเล 1,030 ไร่ เป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ และเขตอนุรักษ์หอยชักตีน 50 ไร่ นอกจากนี้มีการปลูกต้นจากในพื้นที่ป่าชายเลน 20 ไร่ เพื่อเพิ่มพื้นที่อาหารให้กับผึ้ง และจัดทำบ้านปลาจากเดิม 8 จุด 300 ลูก เพิ่มเป็น 19 จุด 311 ลูก ด้วยเถาว์ถอบแถบน้ำ เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำของชุมชน
การทำธนาคารปูไข่ โดยการรวบรวมปูที่ไข่นอกกระดอง แล้วให้ปูไข่ให้หมดก่อนแล้วจะขายแม่พันธุ์ปูต่อไป โดยพ่อค้าคนกลางในหมู่บ้าน ปัจจุบันมี 2 สาขา สมาชิกเป็นชาวประมง จำนวน 80 คน และเพิ่มกิจกรรมธนาคารแหอวน เก็บขยะในทะเล
การฟื้นฟูหญ้าทะเล 2 ชนิด คือ หญ้าคาทะเล และหญ้าชะเงาใบมน พื้นที่ประมาณ 1,030 ไร่ ที่เป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ เช่น ปลากระบอก ปลาตาหมัน ปลาหลังเขียว กุ้ง หมึกสาย หมึกหอม ปูม้า เต่า พะยูน หอยแมลงภู่ หอยลาย หอยตาชัย ดาวทะเล เม่นทะเล ปลิง ไส้เดือนทะเล หนอนตัวกลม ปู และเขตอนุรักษ์หอยชักตีน 50 ไร่
ผลการฟื้นฟูป่าชายเลนสามารถป้องกันคลื่นลม ลดความรุนแรงจากพายุไม่ให้บ้านเรือนชายฝั่งต้องเสียหาย ดักกรองสิ่งปฏิกูล และสารก่อมลพิษต่าง ๆ ที่ไหลปนมากับน้ำไม่ให้ลงสู่ทะเล สามารถช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ ประกอบกับการจัดทำธนาคารปูที่มีอยู่ถึง 2 แห่ง และการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ร่วมกับประมงจังหวัดกระบี่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปีละ 1-2 ครั้ง ซึ่งพันธุ์สัตว์น้ำเหล่านี้ได้แก่ ปลากะพงขาว กะพงแดง กุ้งแชบ๊วยม้า
การเฝ้าระวังทั้งป่าชายเลนและทะเลยังหยุดยั้งการใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างหมดไป โดยแกนนำและชาวบ้านจะผลัดเปลี่ยนเฝ้าเหมือนยามทะเลอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเห็นความตั้งใจของชาวบ้านได้มอบเรือให้ใช้เพื่อกิจกรรมเฝ้าระวังและลาดตระเวนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีมาตรการบังคับใช้กฎระเบียบเคร่งครัด ทั้งห้ามระเบิดปลา ห้ามใช้ยาเบื่อเมาทุกชนิด ห้ามอวนล้อม ใช้ไม้กระทุ้งน้ำ ห้ามใช้ปืนยิงปลาทุกชนิด ห้ามใช้เครื่องปั่นไฟทุกชนิด รวมถึงขอความร่วมมือเก็บขยะในทะเลและในชุมชนปีละ 4 ครั้ง
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงผึ้งบ้านไหนหนัง สมาชิก จำนวน 32 คน ต้องการให้การอนุรักษ์ป่าชายเลนและทรัพยากรชายฝั่งมีความยั่งยืนทั้งในเชิงเศรษฐกิจและระบบนิเวศ ได้จัดทำศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงผึ้งเพื่อการอนุรักษ์ป่าชายเลน ปี พ.ศ. 2562 โดยการสนับสนุนของ MAP และสมาชิกชุมชน เพื่อนำเสนอข้อมูลระบบการเลี้ยงผึ้งสำหรับผู้มาเยือนชุมชน เชื่อมโยงกับความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศป่าชายเลน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ผสมเกสรเหล่านี้ มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวนำผึ้งที่ทางกลุ่มฯ ใส่กระบอกไม้ไผ่ไว้แล้ว นำไปเข้าไปไว้ในป่าชายเลนประมาณ 500 กระบอก โดยชุมชนบ้านไหนหนังได้รับการยกย่องให้เป็นชุมชนต้นแบบด้านการเลี้ยงผึ้ง (bee culture) จากสหประชาชาติ ในปี 2563
ผึ้งที่เลี้ยงเป็นผึ้งชนิดหนึ่งที่เรียกว่าชันโรง ไม่มีเหล็กใน มีขนาดเล็กกว่าผึ้ง ชื่อชันโรง (ชัน-นะ-โรง) หมายถึงโรงงานผลิตชัน เพราะผลิตชันได้ค่อนข้างเยอะ คนโบราณนำมาอุดภาชนะ อุดฐานพระ ทำยาแผนโบราณ แต่ปัจจุบันการเลี้ยงผึ้งชันโรงเพื่อประโยชน์หลายอย่าง เช่นน้ำผึ้งชันโรงมีรสหวานอมเปรี้ยว มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และน้ำตาลกลูโคสสูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป จึงมีราคาสูงกว่าถึงสิบเท่า นิยมนำไปทำยาและเครื่องสำอาง ผึ้งชันโรงมีนิสัยตอมดอกไม้ทุกชนิด ไม่เลือกตอมเฉพาะดอกไม้ที่ชอบ สำหรับดอกไม้ป่าชายเลนที่ผึ้งชอบ เช่น จาก หวายลิง เป้งทะเล ตาตุ่มทะเล ลำแพน ตะบูนขาว ตะบูนดำ โปรงแดง แสมขาว ลำพูทะเล เป็นต้น รวมถึงมีการเพิ่มปริมาณชันโรงขนเงินเพราะต้านทานโรคได้ดี ในประเทศไทยพบชันโรง 34 สายพันธุ์ ซึ่งที่ชุมชนบ้านไหนหนังมีผึ้งเลี้ยงชันโรงถึง 15 สายพันธุ์ และแต่ละพันธุ์ยังให้รสชาติต่าง ๆ ดังนี้
รสชาติหวานเปรี้ยว : สายพันธุ์ปากแตรกลาง อิตาม่า โทราสิก้า
รสชาติหวานฝาด : สายพันธุ์สิริธร หล้าสาย เมลินา รุ่งอรุณ ปากหมูใหญ่
รสชาติหวานหอม : สายพันธุ์ปากแตร ถ้วยดำ
รสชาติหวานขม : สายพันธุ์ขนเงิน
รายได้จากการทำรังผึ้งขายของสมาชิก 10-20 คน โดยทุก 15 วัน จะทำรังผึ้งได้รวม 200 ชุด นำไปขายสร้างรายได้ประมาณ 7,000 บาท/คน โดยรังผึ้งส่งขายไปยังกลุ่มเลี้ยงผึ้ง เช่น ในอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ จำนวน 3 กลุ่ม หรือที่เกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงผึ้งบ้านไหนหนัง มีเงินหมุนเวียน 531,983 บาท กำไรจากรายได้ร้อยละ 10 นำเงินใช้ในการกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ชุมชนบ้านไหนหนังได้สร้างเครือข่ายการเลี้ยงผึ้งในจังหวัดกระบี่ จำนวน 8 อำเภอ ทางกลุ่มฯ จะไปอบรมการเลี้ยงผึ้งให้แก่กลุ่มและชุมชนที่สนใจ โดยทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลผึ้งและการเลี้ยงผึ้ง เพื่อให้การอบรมที่เหมาะสมแก่พื้นที่ รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งเพื่อให้เป็นองค์กรและกลไกการจัดการกลุ่ม กำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องเลี้ยงผึ้ง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ผลผลิตและกำไรที่ได้จะหักร้อยละ 10 นำเข้าเป็นกองทุนการอนุรักษ์ เพื่อไปใช้ในการทำกิจกรรม เช่น ซั้งปลา ปลูกป่า
ด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชนบ้านไหนหนังได้พัฒนาร่วมเป็นเครือข่ายการท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดกระบี่ที่นำนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวในกลุ่มต่างๆ ของชุมชน เช่น ล่องเรือชมป่าชายของกลุ่มอนุรักษ์ฯ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งบ้านไหนหนัง กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ กลุ่มขนมพื้นถิ่น กลุ่มธนาคารต้นไม้ กลุ่มของฝาก ของที่ระลึก เช่น เสื้อสกรีน กระเป๋าผ้า กลุ่มประมงชายฝั่งกลุ่มวิสาหกิจโคกหนองนา ธนาคารปูม้า โดยขยายไปยังโรงเรียนบ้านไหนหนัง มีนักเรียนมาเป็นไกด์ชุมชน 4 คน มีผู้มาท่องเที่ยวประมาณ 3,000 คน/ปี รวมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง สถาบันการศึกษา จังหวัดกระบี่ องค์กร Mangrove Action Project (MAP) ฝ่ายปกครอง อบต. และกลุ่มแกนนำทางศาสนา
แกนนำปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 ประกอบด้วย แกนนำทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ผู้นำศาสนา มีการกระจายอำนาจการดำเนินกิจกรรมให้แต่ละกลุ่ม/วิสาหกิจที่มีความถนัดในแต่ละเรื่อง สร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ผ่านการประชุมในทุกวันศุกร์ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความเข้าใจ สื่อสารงานต่าง ๆ ของชุมชน มีการส่งต่อไปยังกลุ่มเยาวชนเพื่อรับช่วงต่อ ร่วมกันทำงานอย่างแข็งขัน รวมถึงให้นักเรียนไปร่วมปลูกป่าชายเลน และหญ้าทะเล เป็นการสร้างจิตสำนึกและสืบทอดงานอนุรักษ์ให้กับเยาวชน
จากการดูแลป่าชายเลน หญ้าทะเล ทะเลหน้าบ้าน ส่งผลให้คนในชุมชนสามารถจับสัตว์น้ำ เช่น กุ้งแชบ๊วย ปูม้า ปูดำ ปลา แมงกะพรุน หอย มีรายได้ทั้งหมู่บ้านประมาณ 14,000,000 -15,000,000 บาท/ปี ในพื้นที่ทะเลที่บ้านไหนหนังดูแล มีผู้มาหากินนอกจากชาวบ้านในหมู่บ้าน แล้วยังมีจากบ้านบากัน บ้านอ่าวลึกน้อย บ้านแหลมสัก บ้านควนโอ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และบ้านเขาทอง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เกาะยาว จ.พังงา
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงผึ้งบ้านไหนหนังและกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนจะทำงานควบคู่กัน ชาวบ้านที่ไปทำงานโรงแรมแถวอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ กลับมาอยู่บ้านจึงมีแนวคิดสอนการทำรังผึ้งเพื่อขาย
ความสำเร็จของชุมชนบ้านไหนหนัง คือการเป็นนักสู้ตัวจริง แกนนำมีภาวะผู้นำสูง ทำงานจริงจังต่อเนื่องและไม่ปล่อย ใช้หลักศาสนาและวัฒนธรรมชุมชน ในการแก้ปัญหา ใช้การพูดคุยในวงน้ำชาเป็นเครื่องมือในการทำงาน แก้ปัญหาแบบประนีประนอม ควบคุมการใช้ป่าอย่างจริงจัง เคารพในกฎระเบียบ แกนนำมาจากคนหลายกลุ่ม ล้วนมีบทบาทหนุนเสริมกัน ทำงานกับภาคีภายนอกอย่างชาญฉลาด จนได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ทำให้งานอนุรักษ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเดินไปด้วยกันได้ และชุมชนมีความยั่งยืนจากพัฒนาการด้านอาชีพที่มีความหลากหลายจนสามารถสร้างรายได้กว่าปีละ 200,000 บาท/ครัวเรือน
ชุมชนบ้านไหนหนัง
หมู่ 3 ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่
ประสานงาน : นายประชา วันศุกร์
23 หมู่ 3 ตำบลเขาคราม อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ 81000 โทร. 087 2733798
ประชากร : 384 ครัวเรือน 1,577 คน
พื้นที่ดำเนินงาน :
- พื้นที่ป่าชายเลน รวมได้ 6,000 ไร่ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติคลองกาโหรด ป่าคลองหิน มีการแบ่งประเภทของพื้นที่ป่าชายเลนดังนี้
- เขตไข่แดง จำนวน 50 ไร่ ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์หอยจุ๊บแจง เพื่อแหล่งขยายพันธุ์โดยห้ามเก็บ ถ้าทำผิดปรับ 500 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม
- พื้นที่ป่าคาร์บอนไดออกไซด์พื้นที่ จำนวน 771 ไร่ สามารถจับสัตว์น้ำได้ แต่ห้ามตัดต้นไม้
- พื้นที่ป่าใช้สอย จำนวน 100 ไร่ ประกอบด้วย บ้านไหนหนัง จำนวน 50 ไร่ และบ้านคลองไคร ต.เขาคราม อ.เมือง จ.กระบี่ จำนวน 50 ไร่
- ป่าฟื้นฟูจากนากุ้งร้าง จำนวน 5 ไร่
- พื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 100 ไร่
- ป่าชายเลนที่ชุมชนดูแล จำนวน 4,974 ไร่
- อนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลชนิดหญ้าคาทะเล และหญ้าชะเงาใบมนพื้นที่ 1,030 ไร่ ที่เป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ เช่น ปลากระบอก ปลาตาหมัน ปลาหลังเขียว กุ้ง หมึกสาย หมึกหอม ปูม้า เต่า พะยูน หอยแมลงภู่ หอยลาย หอยตาชัย ดาวทะเล เม่นทะเล ปลิง ไส้เดือนทะเล หนอนตัวกลม ปู
- เขตอนุรักษ์หอยชักตีนในทะเล พื้นที่ 50 ไร่
ระยะเวลาในการทำงานอนุรักษ์ : ปี พ.ศ. 2538 - ปัจจุบัน (รวม 29 ปี)