ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล โดย พิเชษฐ์ เบญจมาศ
คำนิยม
การตายรายวันและสภาพอันน่าสะเทือนใจของพะยูนปรากฏเป็นข่าวสม่ำเสมอต่อเนื่องบนหน้าสื่อในประเทศไทยต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี จำนวนพะยูนตายเกยตื้นบนชายฝั่งทะเลไทยพุ่งสูงขึ้นราวกับว่าพะยูนเป็นสัตว์สงวนที่ต้องคำสาปให้สูญพันธ์
พิเชษฐ์ เบญจมาศ เลือกใช้มุมมองของสัตว์เพื่อเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดทุกข์ยากของเผ่าพันธุ์ของตน ตัวละครที่หน้าที่ผู้เล่าเรื่องใน ‘ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่พะยูน "พูดได้" มี “จิตสำนึก” และมี “อารมณ์ทุกข์โศก” เช่นเดียวกันกับมนุษย์แต่เป็นความพยายามของพิเชษฐ์ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจ "โลกภายใน" ของพะยูนที่มีสำนึกสิ่งแวดล้อมมองเห็นความเชื่อมโยงของปัญหาในระบบนิเวศในขณะที่มนุษย์กลับเห็นแก่ตัวจนมืดบอดต่อความทุกข์ร้อนของสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่ตน
องค์ประกอบที่โดดเด่นอีกประการของ ‘ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล’ คือความลี้ลับของการปรากฏตัวของผีบรรพบุรุษพะยูนในคืนเดือนเพ็ญเป็นจังหวะที่ดาวเสาร์เคลื่อนทับดาวราหูผสานเข้ากับเรื่องเล่าเก่าแก่ของท้องถิ่นเกี่ยวกับ ‘ดุหยง’ ตำนานการกลายร่างของหญิงสาวท้องแก่ที่อยากกินหญ้าทะเลและกลายร่างเป็นพะยูน เสียงบอกเล่าของสัตว์ในงานของพิเชษฐ์จึงเป็นเสียงของสัตว์กลายร่างที่ข้ามพรมแดนสายพันธุ์ที่สามารถเชื่อมโยงทั้งอดีตของมนุษย์และปัจจุบันของสัตว์เข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง เป็นเสียงที่มีอำนาจในอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องตายจากไปในโลกที่เปลี่ยนไปตามน้ำมือมนุษย์ เสียงของพะยูนจึงมิใช่เพียงการรำลึกอดีตของท้องทะเลที่สมบูรณ์งดงาม แต่ยังเป็นเสียงคร่ำครวญของสิ่งมีชีวิตที่ถูกพรากสิทธิของการดำรงอยู่อย่างผาสุกในธรรมชาติในอนาคต การจากไปของพะยูนจึงมีความหมายทางจริยธรรมไม่แพ้ความตายของมนุษย์
‘ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล’ จึงมิได้เป็นเพียงเรื่องเล่าของการสูญเสียทางชีวภาพ แต่เป็นการสูญเสียทางวัฒนธรรม ความเชื่อมโยงข้ามเวลา ความเชื่อมโยงข้ามสายพันธุ์ ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งในระบบนิเวศที่หายไปพร้อมกับเสียงสุดท้ายของพะยูนผู้เล่าเรื่องและ‘กลิ่นความตายแสนเศร้า’ ของซากเหล่าพะยูน
ดร.ภัทรภร รักเรียน
(กรรมการประเมินคุณค่าผลงาน รางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทงานเขียน)
ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล
1.
ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล..
กลิ่นความตายแสนเศร้า พัดมากับเกลียวคลื่น ระลอกแล้วระลอกเล่า ความตายก่อนอายุขัยอันควร ได้พรากความหวังที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของเราในท้องทะเลแห่งนี้ ระเหยหายไป
ข่าวความตายถูกบอกเล่าปากต่อปาก จากเพื่อนของเรา จากชาวประมง จากนักเดินทาง บ้างว่าศพถูกพบที่ริมตลิ่งในป่าโกงกาง บ้างว่าศพติดเรืออวนลากขึ้นมา บ้างว่าเด็กที่เล่นทรายริมหาดพบตอนกำลังขุดทราย บ้างว่าเพราะหยดน้ำตาคือยามหาเสน่ห์ แต่ไม่ว่าจะว่ากันอย่างไร ความตายเหล่านั้น สร้างความหวาดหวั่นแก่พวกเราเหลือเกิน
ศพล่าสุด พบริมชายหาด สภาพบวมเป่ง ลำตัวมีรอยบาดลึก รอยใบพัดเรือ จากคำบอกเล่า เพื่อนคงตายมาก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว
ก่อนหน้าเพื่อนจะตาย มีพวกเราตายไปก่อนหลายตัวแล้ว ตายจากการอดอาหาร เพราะหญ้าทะเลที่เคยมีอยู่เต็มไปหมด ค่อยๆตายลง ผีบรรพบุรุษของเราแจ้งข่าวมาว่า ไม่นานทะเลจะเหลือเพียงดินเลน หากเราไม่เร่งอพยพ เราจะอดตายกันหมด
คำแจ้งเตือนจากผีบรรพบุรุษ ทำให้เราต้องเร่งจัดวงพูดคุย เพื่อนำเสนอแนวทาง และหาทางออกที่เหมาะสม ที่ผ่านมา เราจะจัดวงพูดคุยปีละครั้งในโพรงถ้ำใต้วังน้ำวน ทว่าครั้งนี้ แม้จะไม่ครบรอบปี แต่เราก็ต้องเรียกพูดคุย
ข้าได้ส่งข่าวผ่านเหยี่ยวทะเล เพื่อนำสารเชิญพูดคุยไปบอกพี่น้องจากทะเลใต้ กลุ่มอิสระที่เลือกปกป้องเผ่าพันธุ์ตนเอง มาร่วมประชุมในครั้งนี้ โดยนัดพูดคุย ในคืนเดือนเพ็ญ น้ำใหญ่ จังหวะดาวเสาร์เคลื่อนทับดาวราหู ซึ่งเป็นวันที่เหมาะควรแก่การพูดคุย ตามคำแนะนำของกระเบนเฒ่า โหราจารย์ลึกลับ
วงพูดคุย เริ่มต้นในโพรงถ้ำใต้วังน้ำวน ผีบรรพบุรุษเป็นประธาน มีพี่น้องของข้าจากทะเลใต้มาร่วม ข้าเป็นตัวแทนของพวกเรา ในวงตั้งคำถามถึงการอพยพ ทิศทาง และกระแสน้ำ
ผีบรรพบุรุษของเราพูดถึงญาติของเราที่เป็นมนุษย์ ท่านเสนอให้เราติดต่อกับพวกเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะรัฐบาลของพวกเขา
ข้อเสนอดังกล่าว ข้าพอเข้าใจ ร้อยกว่าปีมานี่ มนุษย์แบ่งแยกแผ่นดิน แยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ จัดตั้งรัฐบาล เพื่อปกป้องตนเอง แต่ข้าทราบมาว่า แม้จะแบ่งแยกแผ่นดิน มนุษย์ก็หาได้ปกป้องดูแลกันอย่างเท่าเทียม ยังคงหาประโยชน์ กดขี่ เพื่อนมนุษย์ตลอดเวลา ผ่านสงครามที่ข้าได้ยิน และกลิ่นความตายของมนุษย์ที่ไหลผ่านสายฝนลงทะเล
เราถกเถียงเรื่องการติดต่อกับมนุษย์และรัฐบาลของพวกเขาอยู่พักใหญ่ ทว่าญาติจากทะเลใต้ ค้านหัวชนฝา ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมา เราเจ็บปวด ล้มตาย เพราะมนุษย์เหล่านั้นมิใช่หรือ
ข้าได้แต่รับฟัง แม้ในใจอยากจะติดต่อรัฐบาลของพวกเขา เพื่อพูดคุย แต่เมื่อรับฟังเหตุผลของพี่น้องจากทะเลใต้ ข้าก็เริ่มไม่แน่ใจ
หลังความเงียบหลายนาที ผีบรรพบุรุษของเราปรากฏตัวขึ้น ร่างของท่านโปร่งแสง แต่รูปร่างของท่านยังเหมือนพวกเราทุกประการ นับเป็นครั้งแรกที่ท่านปรากฏตัวต่อหน้าเรา หลังจากที่ผ่านมา ท่านจะปรากฏผ่านนิมิตของกระแสน้ำทะเล
ท่านบอกพวกเราว่า อย่าลืมว่า เรากับมนุษย์คือสายเลือดเดียวกัน บรรพบุรุษของเรา เดิมทีเคยเป็นหญิงสาวที่แต่งงานกับชายหนุ่มชาวประมง วันหนึ่งเมื่อตั้งท้อง เธออยากกินหญ้าทะเลขึ้นมา จึงดำลงไปกินหญ้าทะเล ทุกการดำน้ำลงไป เธอกลายร่างเป็นพวกเรา ทีละส่วน ทีละส่วน กระทั่งดำน้ำครั้งสุดท้าย เธอก็กลายเป็นเราโดยสมบูรณ์
ผีบรรพบุรุษย้ำเตือน เรื่องสายเลือดเดียวกัน สายเลือดที่เรามีกับมนุษย์ และสรรพสัตว์อื่นบนโลกใบนี้ สายเลือดที่ให้กำเนิดพวกเราขึ้นมา เพื่อดำรงอยู่ร่วมกัน อิงอาศัยกัน ท่านชี้ชวนให้เรามองดูท้องทะเลของเรา เทียบเคียงกับดวงดาวบนท้องฟ้า ทุกอย่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
วงพูดคุยจบลงไปนานแล้ว ส่วนข้ายังไม่อาจละความคิดออกมาได้ ข้าเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเรากับมนุษย์และสรรพสิ่งอีกครั้ง ทว่า ยังสงสัย ในเมื่อทุกอย่างเชื่อมโยง และเราต่างเป็นญาติกัน ทำไมมนุษย์ถึงตามล่าเราเพื่อเอาหยดน้ำตา วางอวนลากดักทางสัญจรของเรา คราดท้องทะเลจนเหลือแต่ดินเลน
2.
ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล..
แม้เธอจะกลายเป็นพวกเราโดยสมบูรณ์ ทว่าทุกคืนเดือนเพ็ญ เธอจะคืนร่างเป็นหญิงสาว กลับไปใช้ชีวิตกับหนุ่มชาวประมง คนรักของเธอ ส่วนลูกของเธอ ออกเดินทาง และกระจายเผ่าพันธุ์ของเราไปทั่วท้องทะเล
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเธอว่า ยังไม่ตาย มีผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในคืนเดือนเพ็ญ เธอยังงดงาม และหาได้แก่ชราลงตามวันเวลา ส่วนลูกของเธอ ยังคงเดินทางท่องไปในทะเล พร้อมนกอพยพ ฝูงมหึมา
ข้าจำได้ ในคืนเดือนเพ็ญหนึ่ง แม่พาข้าไปริมชายหาด รวมตัวกับพี่น้องของเรา ร้องเพลงสวดที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าได้แต่ยืนฟังเสียงเพลงสวด ท่ามกลางแสงจันทร์สว่างคล้ายโคมไฟขนาดใหญ่ และในแสงสว่างนั่นเอง ที่ข้าเห็นหาดทรายเต็มไปด้วยฝูงเต่าที่กำลังคลานขึ้นจากผิวน้ำทะเล พวกมันกำลังขุดทราย วางไข่ ดาระดาษเต็มผืนทราย สีขาว ข้าตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น จนลืมฟังบทสวดของแม่และพี่น้องของเราไปชั่วขณะ
ไม่นานนัก เสียงสวดก็เงียบลง แม่สะกิดข้า ให้จ้องมองไปยังผิวน้ำทะเล และนั่นคือครั้งแรก ที่ข้าเห็นนางเดินขึ้นมาจากท้องทะเลด้วยตาตนเอง
แม่เรียกนางว่า “ดุหยง” ที่แปลว่า หญิงสาวแห่งท้องทะเล ตามภาษาเรียกของพี่น้องจากทะเลใต้ แม่เล่าว่า ทุกคืนเดือนเพ็ญนางจะกลับขึ้นฝั่ง หากโชคดี หรือ นางมีเรื่องที่ต้องการสื่อสารกับเรา เราจะได้พบกับนาง
ข้าและพี่น้องอาศัยท้องทะเลเป็นบ้าน เรากินหญ้าทะเลเป็นอาหาร ไม่กินสิ่งมีชีวิต ข้ามีเพื่อนบ้านเป็นปลา เต่า หอย และฝูงนกอพยพที่มาเยือนท้องทะเลทุกปลายปี ข้าออกว่ายน้ำเล่นกับพวกเขา บางครั้งก็ออกไปไกลกว่าที่แม่ห้ามไว้
ไกลออกไป ข้าพบว่า ท้องทะเลช่างกว้างใหญ่ คลื่นลมเชี่ยวกราก มีปลาทะเลตัวใหญ่ ฉลาม วาฬ และแมงกะพรุนหลากสี ที่นั่น วาฬชราเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ข้าฟัง เรื่องราวของท้องทะเลโบราณ ที่เคยเป็นถิ่นอาศัยของบรรพบุรุษของเรา วาฬชราบอกว่า ทุกชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกแล้ว ถ้าสนใจไปอยู่ด้วยกัน ให้พาฝูงตามไป
กลับมา ข้าได้แต่ครุ่นคิดถึงทะเลโบราณกับวาฬชรา
ทุกคืนเดือนเพ็ญ แสงจันทร์เปลี่ยนร่างของเราเป็นมนุษย์ บ้างกลับไปหาครอบครัว บ้างกลับไปหาลูก บ้างไปเที่ยวผจญภัย เป็นเช่นนี้ นับเนื่องจาก “ดุหยง” เป็นต้นมา โดยมีข้อตกลงสำหรับการขึ้นบกคือ ห้ามทำร้ายหรือฆ่าสิ่งมีชีวิตบนนั้นโดยเด็ดขาด
จากวัยเด็กถึงวัยชรา ข้าขึ้นไปเที่ยวเล่น ผจญภัยบนบกนับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งข้าจำแลงกายเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นคนชรา สลับหมุนเวียนกันไป แต่ทั้งหมดนั้น ข้ามิเคยไปไกลกว่าท้องทะเล เพราะก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ข้าต้องลงสู่ทะเลเช่นเดิม มิฉะนั้น เราจะกลายเป็นมนุษย์ตลอดกาล ซึ่งข้ามิปรารถนาเช่นนั้น
ทว่า หลายปีหลัง ข้าแก่ชราลงมาก จึงได้แต่เฝ้ามอง และรับฟังเรื่องราวจากพี่น้องวัยหนุ่มสาวของเราใช้เรื่องเล่าของพวกเขาแทนดวงตา
จากคำบอกเล่าของพี่น้องหนุ่มสาวที่ขึ้นบกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เล่าว่า บนบกพืชพันธุ์หลายชนิดลดจำนวนลง ยาฆ่าแมลงถูกราดลงผืนดิน หญ้าแห้งตายประหนึ่งถูกไฟแผดเผา พื้นดินแห้งผากยามฤดูแล้ง และในยามฝนตก น้ำจะชะล้างคราบสารเคมีลงลำธาร ไหลลงสู่ทะเลของพวกเรา
พี่น้องหนุ่มสาวบอกอีกว่า “ดูสิ ทะเลกำลังกลายเป็นโคลนเลนไร้ชีวิต เหลือเพียงหญ้าแก่ยืนต้นเท่านั้น ไม่นานก็คงหมดไป ฟังสิ เสียงเรือพร้อมตาข่ายขนาดใหญ่กำลังมา มันจะกวาดต้อนทุกอย่าง รวมทั้งเราด้วย ถ้าโชคดี หลุดจากอวน เราก็ต้องเจอกับใบพัดขนาดใหญ่ของเรือ ที่อาจตัดเราออกเป็นชิ้นๆได้เลย”
ข้ารับฟัง และเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงนี้เรื่อยมา พยายามทำความเข้าใจ แต่จนแล้วจนรอดข้าก็ยังไม่อาจเข้าใจทั้งหมด
3.
ศพของเพื่อนส่งกลิ่นทั่วท้องทะเล..
กลิ่นศพกลายเป็นเกสรวิญญาณ ลอยคว้างพร้อมเกลียวคลื่น ลอยละล่องไปทั่วท้องทะเล เมื่อแสงแดดส่องกระทบ เกสรวิญญาณกลายเป็นไอ ระเหิดสู่ก้อนเมฆ ตกสู่พื้นดินพร้อมสายฝน บอกข่าวแก่แผ่นดิน ว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา
พออายุมาก ข้าหลับกลางวันบ่อยขึ้น แต่กลางคืนหลับยาก ทว่า เมื่อหลับแล้ว ข้าฝันถึงนางเสมอ
“ดุหยง” มาหาข้า พร้อมเรื่องเล่าไกลโพ้น นางจะร้องเพลงสวด ร่ายรำ ท่วงท่าของนางคล้ายกระแสคลื่นทะเลในฤดูร้อน ผมของนางยาวสยายสะบัดตามจังหวะลมหายใจ ดวงตาของนางดำขลับ มีวงแหวนสีฟ้ารอบขอบนัยน์ตา ข้ามองนางไม่ละสายตาคล้ายถูกมนต์สะกด นำข้าดำดิ่งสู่ทะเลโบราณ
“ที่นี่ ทุกชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกแล้ว” นางทักทายข้าด้วยคำพูดของวาฬชรา
นางบอกข้าว่า นางมีโอกาสพูดคุยกับฝูงนกอพยพ นกบางตัวบอกนางว่า ตอนนี้น้ำแข็งที่ปกคลุมยอดเขา เริ่มละลายลงอย่างรวดเร็ว กระแสน้ำหลากไหลลงแม่น้ำสายแล้วสายเล่า มวลน้ำเกินขนาดที่แม่น้ำจะรับได้ นกบางตัวบอกนางว่า ตอนนี้แผ่นดินแห้งแล้งเหลือเกิน เปลวไฟปะทุท่ามกลางกระแสลมหนาว เผาวอดบ้านเรือน ผืนป่า และสัตว์นานาชนิด นกบางตัวบอกนางว่า มนุษย์จำนวนมากกำลังอพยพ เช่นเดียวกับพวกเรา
นางบอกอีกว่า ให้ข้าเร่งติดต่อกับมนุษย์ และรัฐบาลของพวกเขา เพื่อหาทางออกเรื่องนี้ร่วมกัน
ข้าเล่าให้นางฟังว่า ที่ผ่านมา เราติดต่อกับมนุษย์ทุกคืนเดือนเพ็ญอยู่แล้ว ช่วงหลายปีหลัง ข้าเห็นว่า มนุษย์เปลี่ยนไปมาก บางครั้ง ข้าได้ยินว่า มนุษย์คิดว่าทุกอย่าง ทุกชีวิตรอบตัว เป็นของตน หมายครอบครองทุกอย่าง ทุกชีวิต เพื่อตอบสนองตนเอง
นางนิ่งเงียบ มีเพียงกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่โดยรอบ
“แต่ยังไงเราก็ต้องเจรจากับพวกเขา” นางยืนยันคำเดิม
ฝูงนกอพยพนำข้าโบยบินจากท้องทะเลขึ้นสู่ท้องฟ้า มองลงไปข้างล่าง ข้าเห็นแม่น้ำสายใหญ่กำลังเลื้อยอยู่กลางแผ่นดิน ภูเขายืนตระหง่าน มหาสมุทรสีครามสงบนิ่งดุจอัญมณี
ข้าพบเกสรวิญญาณมากมาย ฟุ้งกระจายตามสายลม บางเกสรงดงามคล้ายดวงดาว บางเกสรหม่นเศร้าคล้ายเศษเถ้าธุลี และในวันหนึ่งข้างหน้า ข้าจะกลายเป็นเกสรวิญญาณ ลอยล่อง ปลิวคล้าง ผสมผสาน เช่นเดียวกัน.