519

ชุมชนธรรมชาติศึกษาบ้านห้วยเดื่อ จังหวัดแม่ฮองสอน

“เปลี่ยนชีวิตปรับพฤติกรรม เพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ดิน น้ำ ป่า”


ชุมชนบนพื้นที่สูงรวมหลายชาติพันธุ์ทั้งปกาเกอะญอ ลาหู่ ลีซอ และคนเมือง มีความแตกต่างทั้งความเชื่อและศาสนา พุทธ คริสต์  ผี  มาอยู่ร่วมกัน สานพลังหนึ่งเดียวดูแลรักษาป่า จากอดีตที่เคยปลูกฝิ่น รับจ้างตัดไม้ให้นายทุน จนสภาพป่าเสื่อมโทรม และยังเผชิญปัญหายาเสพติดระบาด กระทั่งพระอาจารย์นิพนธ์ ธุดงค์เข้ามาในพื้นที่ จึงได้ชักชวนแกนนำลุกขึ้นมาจัดการตนเองบนฐานธรรมชาติศึกษา แก้ไขปัญหาสังคมและปัญหาทรัพยากรถูกทำลาย โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทำสัมมาอาชีพ หันมาทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน การใช้ประโยชน์จากป่าอย่างรู้คุณค่า ควบคู่กับการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ใช้การกำหนดเป็นพื้นที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ 700 ไร่ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร 1,600 ไร่ พื้นที่อาศัยและเกษตรกรรม 2,500 ไร่ และช่วยกันดูแลอย่างจริงจัง  ลดและเลิกการใช้สารเคมี ยาฆ่าหญ้า เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม คืนความสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศ ทำนาได้ผลผลิตมากขึ้น กบเขียดเพิ่มจำนวนมากขึ้น


ภูมิหลังของชุมชน

            บริเวณที่ตั้งชุมชนบ้านห้วยเดื่อ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีหลักฐานพบซากอิฐวัดร้างเก่าบริเวณพระธาตุหินล้อม หรือดอยพระธาตุเลอเคาะ (หินซ้อน) โดยประมาณมีอายุกว่า 600 ปี (ประเมินจากอายุเนื้ออิฐโดยนักวิชาการ) พบวัตถุเก่าแก่ประเภทลูกปัด บริเวณป่าไผ่ดำ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นป่าช้าที่ฝังศพของชาวลั๊วะชุมชนดั้งเดิมซึ่งได้ละทิ้งถิ่นฐานไปแล้ว จากการสืบคำบอกเล่านายปอเหย่อ ได้อพยพหนีโรคห่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มแรก ต่อมามีการเปิดสัมปทานไม้กระยาเลย ในช่วงเวลาเดียวกับที่นายป่างจิ่ง อพยพมา และเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ และจัดตั้งเป็นหมู่บ้านห้วยเดื่อ หมู่ที่ 3 ตำบลโป่งสา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งรกรากทำกินอยู่จนถึงปัจจุบัน

อาชีพหลักของชาวบ้านคือปลูกข้าวไร่ ข้าวนาและเลี้ยงสัตว์ ช่วงสัมปทานทำไม้กระยาเลยป่าน้ำสา การตัดไม้สร้างบ้าน และแปรรูปขาย โดยมีชาวบ้านเป็นแรงงาน ส่งผลให้ป่าเสื่อมโทรม อีกทั้งยังประสบปัญหายาเสพติดระบาด เกิดความอดอยากและยากจน  จนกระทั่งพระอาจารย์นิพนธ์ ธุดงค์เข้ามาในพื้นที่ จึงได้ชักชวนแกนนำลุกขึ้นมาจัดการตนเอง ค่อยๆ แก้ปัญหาที่สะสมเรื้อรัง ทั้งปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม                 

 

ความโดดเด่่นของผลงานช่วงรางวัล ลูกโลกสีเขียว ประเภทชุมชน ปี 2560-2561

            ชุมชนขาดโอกาสในการเรียนรู้เท่าทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ใช้ชีวิตทำไร่ ข้าวไร่ ข้าวนาดำ ทำสวนตามยถากรรม ชีวิตต้องดิ้นรนเอาตัวรอด พึ่งพาอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก รับจ้างตัดไม้ขาย เป็นแรงงานนายทุนบุกเบิกเปิดพื้นที่ป่าทำสวนส้ม จนสภาพแวดล้อมธรรมชาติเสื่อมโทรม ซ้ำร้ายยังประสบปัญหาการระบาดของยาเสพติด หลายคนในชุมชนติดยาและเหล้าอย่างหนัก  

การธุดงค์เข้ามาในหมู่บ้านของพระอาจารย์ได้สร้างการเปลี่ยนแปลง ท่านเริ่มใช้กุศโลบาย ลด ละ เลิกสิ่งเสพติด ค่อยๆ กล่อมเกลาชาวบ้าน โดยการประสานจากเจ้าหน้าที่อนามัยตำบล ติดต่อชาวบ้านให้มาช่วยพระอาจารย์สร้างสถานปฏิบัติธรรมจากการเก็บรวบรวมเศษไม้ ปลายไม้ที่เหลือจากการทำไม้ ซึ่งทิ้งกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ป่ารอบหมู่บ้าน ได้นำมาใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม แล้วให้ค่าตอบแทนเป็นค่าแรง ชาวบ้านชุดแรกที่เริ่มเรียนรู้ผ่านกระบวนการชุมชนธรรมชาติศึกษา เพื่อการฟื้นคน ฟื้นธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 6 ฐานการเรียนรู้ คือ 1. ฐานการเรียนรู้บนหลักการทำดี ยึดมั่นในศีล 2. ฐานสัมมาอาชีวะ เรียนรู้เพื่อการประกอบสัมมาชีพ ลดละเลิกการใช้สารเคมี มุ่งเน้นการทำเกษตรอินทรีย์  3. ฐานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. ฐานการออม 5. ฐานการสืบสานวัฒนธรรม ประเพณี  6. ฐานสุขอนามัย เรียนรู้เพื่อดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต คนในชุมชนห้วยเดื่อเป็นชุมชนที่เข้มแข็งรักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จนทำให้เกิดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ

การปรับเปลี่ยนหลังจากได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทชุมชน ปี 2560-2561

ป่าที่ชุมชนช่วยกันดูแลรักษาจำนวนต้นไม้หนาแน่นขึ้น ประกอบด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่และต้นไม้ขนาดเล็ก โดยลูกไม้ป่าเจริญเติบโตได้ดี พบสัตว์ป่าเพิ่มขึ้น พื้นที่ป่าชุมชน 700 ไร่ที่ชุมชนสามารถป้องกันและควบคุมไฟป่าได้ ซึ่งทำให้ไม่มีไฟป่าเกิดขึ้น  ส่วนพื้นที่ป่าต้นน้ำในเขตอนุรักษ์ 1,600 ไร่ ทางผู้นำชุมชน และผู้ใหญ่บ้านได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่อุทยานช่วยกันไประงับการใช้พื้นที่ที่มีผู้บุกรุกได้สำเร็จ เจรจายกเลิกการใช้พื้นที่อย่างเด็ดขาด

การบริหารจัดการน้ำ โดยทำฝายในต้นน้ำลำห้วยที่เหมาะสม เริ่มจากชาวบ้านเดินเข้าป่าสำรวจลำห้วยที่มีการไหลของน้ำ ทำประชาคมเพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งฝายต้นน้ำที่อยู่เหนือประปาภูเขานี้เอง สามารถแก้ไขปัญหาน้ำหลากท่วมที่นา รวมถึงการส่งเสริมให้ขุดสระน้ำเพื่อไว้กิน และใช้สำหรับการเกษตร นอกจากแก้ปัญหาน้ำแล้ว ยังเพิ่มแหล่งอาหาร สร้างรายได้ด้วยการเลี้ยงปลาดุก การเพาะเห็ดลม และเลี้ยงปลาชนิดอื่น ๆ  

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ของชุมชน เน้นการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น การแบ่งโซนการหาเห็ด เป็นพื้นที่เก็บหาและพื้นที่ห้ามเก็บ เพื่อปล่อยให้เป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ต่อไป รวมถึงการลดละเลิกการใช้สารเคมีทุกชนิดในการเพาะปลูก

การปรับปรุงและการลดต้นทุนการผลิต โดยการปล่อยให้วัว ควาย ลงไปกินหญ้าเพิ่มปุ๋ยในนา เป็นการพรวนดิน ใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ เพิ่มธาตุอาหารอย่างดีสำหรับการปรับปรุงดิน ทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น จากทำข้าวไร่ ปี 2563 พื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิตข้าว 30 ถัง/ไร่ ปี 2565 พื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิต 40-50 ถัง/ไร่ และการทำนาปี 2563 พื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิตข้าว 40 ถัง/ไร่ แต่ปี 2565 พื้นที่ 1 ไร่ ได้ผลผลิต 50-60 ถัง/ไร่ เท่ากับทำนา 1 ปี มีข้าวกินถึง 2 ปี เหลือก็ได้ขายเป็นรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ชุมชนคงรักษาการกินอยู่ในแบบดั้งเดิม คือ ปลูกอยู่ ปลูกกิน ไม่เน้นการขาย

ฐานการเรียนรู้ธรรมชาติศึกษาได้ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของคนในชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การทำกิจกรรมส่วนรวมได้รับความร่วมมือกับคนในชุมชนมากขึ้น เกิดการทำงานร่วมกันของคนหลากหลายรุ่น สามารถประสานความเชื่อ ความรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำงานอนุรักษ์ ทั้งการบวชป่า สืบชะตาดินน้ำป่า การกราบพระธาตุ ต่าพะเล ขอขมาขอฟ้าฝนก่อนลงทำสวน ทำนา และการจัดการป่าตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ได้ขยายแนวคิดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่หมู่บ้านใกล้เคียง โดยที่หมู่ 1 บ้านโป่งสา มีพื้นที่ดูแลรักษาป่า  140 ไร่ และหมู่ 7 บ้านปางตอง มีพื้นที่ดูแลรักษาป่า 100 ไร่

 

ชุมชนธรรมชาติศึกษาบ้านห้วยเดื่อ

หมู่ที่ 3 บ้านห้วยเดื่อ ตำบลโป่งสา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ประสานงาน : พระนิพนธ์  สันตจิตโต

วัดพระธาตุหินล้อม บ้านห้วยเดื่อ ตำบลโป่งสา อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

โทร : 093 304 0861

ประชากร : จำนวนครัวเรือน 120 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 369 คน

พื้นที่ดำเนินการ : พื้นที่ป่าอนุรักษ์ – ป่าศักดิ์สิทธิ์ ประมาณ 700 ไร่ ที่ตั้งพระธาตุดอยหินล้อม พื้นที่ป่าอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร ประมาณ 1,600 ไร่ แหล่งน้ำประปาภูเขา แหล่งขุนน้ำห้วยเดื่อและพื้นที่อาศัยและเกษตรกรรม ประมาณ 2,500 ไร่

ระยะเวลาในการทำงานอนุรักษ์ : เริ่มปี พ.ศ. 2552 ถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 14 ปี


519