6,114

สรุปสาระสำคัญการบรรยายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้ 15 สิงหาคม 2566

      ป่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญต่อชีวิตและการพัฒนาประเทศ แต่ต้องเผชิญกับการสูญเสียสภาพจากการบุกรุกทำลาย การใช้ประโยชน์ที่มากเกิน และภัยธรรมชาติ ดังนั้นเพื่อการรักษา ฟื้นฟู ปกป้อง และสงวนพื้นที่ป่าไว้ให้คงอยู่อย่างเหมาะสม นำมาสู่การใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อการควบคุมและคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่านี้  

    สถาบันลูกโลกสีเขียวจัดบรรยายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้ที่สำคัญจากผู้ทรงคุณวุฒิ กรมป่าไม้ ได้แก่ พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 โดยคุณวิจารณ์ เสนสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มนิติการ และพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ.2562  โดย คุณนันทนา บุณยานันต์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน

     สาระสำคัญของพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484  มีวัตถุประสงค์เพื่อการควบคุมเป็นสำคัญ ได้แก่ การควบคุมการทำไม้หวงห้าม การควบคุมการเก็บหาของป่า และการควบคุมการบุกรุกยึดถือครอบครองป่า

       “ในอดีตที่ป่าลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ ต้องสงวนรักษาไว้ ห้ามการบุกรุก ห้ามสำรวจ หรือออกโฉนดแก่เอกชน ตามกฎหมายนี้ ป่าเน้นไปที่ที่ดินเป็นหลัก นั่นคือ เป็นที่ที่ยังไม่ได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน ดังนั้น พื้นที่เห็นเป็นเขาหัวโล้น ไม่มีต้นไม้ซักต้น ก็ยังนับเป็นป่าได้”

        ไม้หวงห้ามที่ควบคุม ได้แก่ ไม้ที่ขึ้นในป่า และเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นไม้หวงห้าม ส่วนของป่าที่ห้ามเก็บหา หมายถึงของที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

       อย่างไรก็ตาม กฎหมายเปิดให้สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ แต่จะต้องขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่า โดยกำหนดวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ไว้ เช่น เพื่อการสำรวจปิโตรเลียม การผลิตปิโตรเลียม การปลูกป่าหรือการทำสวนป่า เพื่อการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ

 

 

           พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507  ที่ยังคงควบคุมการใช้ประโยชน์ในป่า ห้ามการบุกรุกครอบครองที่มีบทลงโทษหนักกว่า  แต่มีข้อยกเว้นและอนุญาตการใช้ประโยชน์ ทำให้เกิดการพัฒนาพื้นที่  โดยปัจจุบันพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติทั่วประเทศรวม 1,221 แห่ง ซึ่งบางแห่งแทบจะไม่เป็นป่า มอบให้ สปก.นำไปใช้ประโยชน์บางส่วน

         “กรณีพื้นที่ป่าสงวนเอื้อให้เข้าไปใช้ประโยชน์อย่างถูกกฎหมาย เช่น ทางใต้ที่มีการขอใช้ประโยชน์ค่อนข้างมาก เอกชนขออนุญาตได้ถึงคราวละ 30 ปี เกือบจะเป็นที่ดินของตนเอง ซึ่งต่อมาเกิดปัญหาเป็นกรณีพิพาทตามที่ปรากฏ ทั้งการลักลอบขาย และต้องการใช้ประโยชน์ต่อ”

         พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ห้ามการยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่า โดยห้ามทำไม้หวงห้ามหรือเก็บหาของป่าหวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ทั้งนี้กฎหมายยังกำหนดการควบคุมถึงไม้และของป่าที่ไม่หวงห้ามด้วย

 

 

         “กรณีหน่วยงานรัฐขอใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะการทำประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม สามารถขออนุญาตทำได้ ทั้งนี้หากเป็นการดำเนินโครงการร่วมกับกรมป่าไม้ อย่างการปลูกป่าให้รัฐ แล้วแบ่งปันคาร์บอน โดยเอกชนควบคุมและบำรุงรักษา ในลักษณะนี้ไม่ต้องขออนุญาต ซึ่งปัจจุบันกำลังจะแก้ไขกฎหมายให้สามารถปลูกป่าในเขตป่าสงวน ไม่ต้องขออนุญาต”

 

พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ.2562

           จากกฎหมายจัดการป่าไม้ที่เน้นการควบคุมและจัดการโดยรัฐ เปลี่ยนแปลงมาสู่การส่งเสริมและการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในกฎหมายป่าชุมชน นับเป็นกฎหมายป่าไม้ฉบับแรกที่ได้รับการเสนอโดยประชาชน แม้ในกระบวนการร่างกฎหมายและนำเสนอเพื่อพิจารณาตามขั้นตอน จนถึงประกาศใช้ ต้องใช้เวลากว่า 28 ปี แต่ยังสะท้อนเจตนารมณ์สำคัญที่ให้สิทธิแก่ประชาชนจัดการป่าและสามารถใช้ประโยชน์จากป่าที่เขาดูแลรักษา

            วัตถุประสงค์การจัดตั้งป่าชุมชน ได้แก่

1. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ

2. การฟื้นฟูพื้นที่ป่าในเขตป่าชุมชน โดยการปลูกป่าทดแทน

3. การเสริมสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนในการจัดการป่าชุมชน

4. การส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีชุมชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟู พัฒนา ควบคุมการดูแลและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน

5. การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน

           ความหมายของป่าชุมชน คือ ป่านอกเขตอนุรักษ์หรือพื้นที่อื่นของรัฐ นอกเขตป่าอนุรักษ์ที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเป็นป่าชุมชน โดยชุมชนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษา ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน  โดยในนิยามป่าชุมชนที่กำหนดว่า เป็นพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์  จึงกำหนดเขตป่าอนุรักษ์ในอนุบัญญัติ ตามมาตรา 4  ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศใช้  

 

 

         สาระสำคัญของการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมรักษาป่า เกี่ยวข้องกับกำหนดสิทธิและหน้าที่ของชุมชน ทั้งคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน และสมาชิกป่าชุมชน โดยคณะกรรมการป่าฯ ได้รับการคัดเลือกและสรรหาจากคนในชุมชน หน้าที่สำคัญคือต้องออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชน หรือที่เข้าใจกันว่าเป็นกติกาการอนุรักษ์ป่าของชุมชน การดูแลรักษาป่า การควบคุมผู้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับป่าชุมชน และยังให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในกรณีที่มีการกระทำผิดตามกฎหมาย ทำให้หน้าที่ของกรรมการจัดการป่าชุมชน ทำหน้าที่เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐในการดูแลป่า

 

 

      อีกกลุ่มได้แก่ สมาชิกป่าชุมชนต้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน รวมถึงปฏิบัติตามระเบียบ กฎ กติกาที่กำหนดไว้

       ทั้งนี้ เมื่อชุมชนช่วยกันดูแลรักษาป่า ชุมชนมีสิทธิการใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน ซึ่งในกฎหมายได้กำหนดเรื่องการใช้ประโยชน์ สามารถใช้ได้ทั้งบริเวณเพื่อการอนุรักษ์ และเพื่อการใช้ประโยชน์ ยกเว้นแค่เพียงการใช้ไม้ใช้สอยภายในชุมชนที่จำกัดการใช้ในพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์

 

 

        ทั้งนี้ ชุมชนต้องทำแผนจัดการป่า นอกจากเป็นเอกสารประกอบการขอจัดตั้งป่าชุมชน ยังแสดงให้เห็นแนวทางและกิจกรรมของชุมชนในการดูแลรักษาป่า แบ่งเป็นด้านการอนุรักษ์ ด้านการฟื้นฟู ด้านการควบคุมดูแล ด้านการพัฒนา และด้านการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชน ซึ่งแผนจัดการป่าจะเป็นเอกสารประกอบคำร้องขอจัดตั้งป่าชุมชน เพื่อนำเสนอแก่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ๆ เป็นประธาน พิจารณา เพื่ออนุมัติแผนฯ และมีมติให้เป็นป่าชุมชน  

          การจัดตั้งป่าชุมชนมีลำดับขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดขนาดป่าชุมชน และสัดส่วนการใช้ประโยชน์ คำนึงถึงสภาพภูมิประเทศ ขนาดของชุมชน และศักยภาพของชุมชนในการจัดการป่า แบ่งเป็นป่าชุมชนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซึ่งกำหนดสัดส่วนพื้นที่การใช้ประโยชน์ไม่เกินร้อยละ 40 กรณีที่เป็นป่าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ยังได้กำหนดพื้นที่ที่ต้องไม่เกิน 1,000 ไร่ และ 2,000 ไร่ตามลำดับ โดยพื้นที่ป่าชุมชนจะต้องอยู่นอกเขตอนุรักษ์

 

 

       ชุมชนสามารถดำเนินการยื่นคำขอจัดตั้งป่าชุมชนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด หรือคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด โดยสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้แห่งท้องที่ดำเนินการตรวจสอบคำขอ ก่อนส่งให้แก่คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดพิจารณาอนุมัติแผนและมีมติให้จัดตั้ง กระทั่งอธิบดีกรมป่าไม้ประกาศจัดตั้งป่าชุมชน ในราชกิจจานุเบกษา เป็นขั้นตอนสุดท้าย

        ปัจจุบันการขอจัดตั้งป่าชุมชน ไม่ต้องยื่นขอต่ออายุ เช่นที่ผ่านมา แต่กฎหมายได้กำหนดเหตุการเพิกถอนป่าชุมชน อันเนื่องจากชุมชนทอดทิ้ง ไม่ฟื้นฟูดูแลรักษา เสียสภาพหรือเกิดความเสียหายแก่ป่าชุมชน รวมถึงมีความจำเป็นด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ป่าชุมชนที่ถูกเพิกถอน สามารถขอจัดตั้งป่าชุมชนใหม่ได้

 


สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้

https://www.youtube.com/watch?v=8LRTPjWVxFo&list=PL4g5HnSWvEAfVyT8P-NS8BHdXr5bZx48K&pp=gAQBiAQB 

หรือคลิก การบรรยายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้


6,114