ชุมชนบ้านห้วยหาด จังหวัดน่าน
“ปรับวิถีการผลิตสู่เกษตรอินทรีย์ ชุบชีวิตสายน้ำ คืนป่าให้ภูเขาเมืองน่าน”
ชุมชนบ้านห้วยหาด กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาสูงติดกับลำห้วยหาด มีอาชีพหลักคือการทำเกษตรกรรม ในอดีตชุมชนแห่งนี้เคยใช้ปุ๋ยและสารเคมีในการเพาะปลูกอย่างเข้มข้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนในชุมชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้แกนนำชุมชนจึงได้ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น และนำไปสู่การทบทวนวิถีการดำเนินชีวิตในทุก ๆ ด้านอย่างจริงจัง มีการจัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญกับสุขภาวะของคนในชุมชนเป็นอันดับแรก มีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตจากที่เคยทำการเกษตรเชิงเดี่ยวมุ่งเน้นแต่รายได้ สู่การทำเกษตรแบบผสมผสานที่ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทในการแก้ไขปัญหาและผลลัพธ์การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ชุมชนบ้านห้วยหาดได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทชุมชน ครั้งที่ 19 ในปี พ.ศ. 2561
หลังจากได้รับรางวัลฯ ดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ร่วมกันดูแลและเฝ้าระวังภัยคุกคาม ทั้งจากคนและภัยธรรมชาติในพื้นที่ป่าชุมชน รวมทั้งป่าอนุรักษ์ในพื้นที่ใกล้เคียง สามารถฟื้นฟูคุณภาพน้ำในลำห้วยหาดที่ครั้งหนึ่งเคยมีสารเคมีปนเปื้อนในระดับสูง ให้กลับมาเป็นแหล่งน้ำที่สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้ โดยนำน้ำมาผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดเพื่อดื่มใช้ในครัวเรือน และจำหน่ายภายในชุมชน คุณภาพน้ำที่ดีได้เป็นแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ฟื้นความหลากหลายให้พันธุกรรมสัตว์น้ำ โดยเฉพาะการกลับมาของปลามัน ปลาท้องถิ่นที่เกือบจะสูญหายไปจากลำห้วยหาด ซึ่งได้ต่อยอดทำโครงการเพาะพันธุ์ปลาก่อนที่จะปล่อยสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ
ปัจจุบันบ้านห้วยหาดได้รับการยกย่องให้เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ที่สามารถพึ่งพาตนเอง มีความมั่นคงทางอาหาร ปลูกพืชผักผลไม้ เพื่อกินและซื้อขายแลกเปลี่ยนในชุมชน ทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ร่วมกับการเลี้ยงสัตว์ ทอผ้า และจักสาน รวมถึงการทำกลุ่มบ้านพักโฮมสเตย์ ที่เน้นสร้างรายได้และเศรษฐกิจชุมชน โดยจ้างงาน ซื้อวัตถุดิบ และอุดหนุนสินค้าของชุมชน หมุนเวียนให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 100,000 บาทต่อครัวเรือนในแต่ละปี ชุมชนบ้านห้วยหาดได้รับยกย่องให้เป็นต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในจังหวัดน่านและใกล้เคียง
ภูมิหลังของชุมชน
ชุมชนบ้านห้วยหาด เป็นชุมชนที่เกิดจากการรวมตัวของคนพื้นราบจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในอำเภอปัว จำนวน 114 ครัวเรือน ซึ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 มีการจัดตั้งหมู่บ้านเป็นไปตามโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์สองข้างทาง โดยมีร้อยโท วรรณทิพย์ ว่องไว เป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านภายใต้แผนยุทธศาสตร์ป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ภายใต้การควบคุมของพลตรีประหยัด รอดโพธ์ทอง ผู้บังคับการกองพลทหารม้าส่วนหน้า ได้พัฒนาหมู่บ้านและจัดอบรมไทยอาสาป้องกันชาติให้กับชาวบ้าน
อย่างไรก็ตาม ในระยะแรกชาวบ้านต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากการคุกคามของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่เข้ามาปฏิบัติการรบกวนและทำสงครามจิตวิทยา หลายเหตุการณ์นำมาสู่การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเหยียบกับระเบิดและการซุ่มยิง หลายครอบครัวอพยพย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมด้วยความกลัว กระทั่งเหลือประชากรในหมู่บ้านเพียง 17 หลังคาเรือน
ความโดดเด่่นของผลงานช่วงรางวัล ลูกโลกสีีเขียว ประเภทชุมชน ปีี 2560-2561
ชุมชนบ้านห้วยหาดประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม จากทั้งการสัมปทานป่า และการทำกิน เนื่องจากชาวบ้านทำเกษตรเชิงเดี่ยว ผลการใช้สารเคมีเข้มข้น เกิดการแพร่กระจายและตกค้างในสิ่งแวดล้อม ทำให้ปลาในลำห้วยตายลงเป็นจำนวนมาก สุขภาพของคนในชุมชนก็แย่ไปด้วย ตรวจพบสารเคมีในเลือดในระดับที่เป็นอันตรายมากถึงร้อยละ 90 รวมถึงหน้าแล้งไม่มีน้ำในลำห้วยทั้งที่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ
ผู้นำเริ่มคิดหาทางแก้ไขทำอย่างไรเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยวแล้วยังมีกิน เพราะจะอนุรักษ์แต่ปากท้องอดอยากยากจน คงไม่มีใครร่วมมือทำด้วย จึงทำเวทีประชาคมเพื่อปรึกษาหารือกัน หาแนวทางที่จะฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วย และแก้ปัญหาความยากจนแก่คนในชุมชน วิธีหนึ่งที่ได้ผลคือการจัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อวิเคราะห์ตนเอง ทำให้เห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาจากสารเคมีที่ใช้ในแปลงเกษตร ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง แต่ขายไม่ได้ราคา แล้วยังทำให้เจ็บป่วย ต้องจ่ายค่ารักษา แล้วสารเคมีปนเปื้อนออกสู่สิ่งแวดล้อม กลายเป็นพิษกับดินและน้ำ จำเป็นต้องลดและเลิกใช้สารเคมี หันไปสู่การทำเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับการทำอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เช่น การทอผ้า เลี้ยงสัตว์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลองผิดลองถูกกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนภายนอก การช่วยเหลือสนับสนุนของหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ทำให้สามารถเปลี่ยนวิถีการผลิตที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมไปกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
ชุมชนได้ยื่นขอจัดตั้งป่าชุมชนกับกรมป่าไม้ และได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 รวม 2 แปลง เนื้อที่ 756 ไร่ นอกจากนี้ชุมชนบ้านห้วยหาดยังมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลอีก 2,500 ไร่ รวมเป็น 3,256 ไร่ ซึ่งกำลังขอขยายแนวเขตตามแผนจัดการป่าชุมชน จนถึงปัจจุบันไม่มีการบุกรุกป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ไม่มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และไม่มีการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอีกต่อไป
ชุมชนได้เปลี่ยนมาทำนาขั้นบันได ทำนาข้างห้วย เพื่อปลูกข้าวไว้กินกันเอง ปลูกผักสวนครัวและพืชหลังนา รวมถึงหาอาชีพเสริม เพื่อหารายได้ในช่วงว่างงาน และได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชุมชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา (ปี พ.ศ. 2556- 2561) ไม่มีไฟป่าเกิดขึ้นในพื้นที่ป่าชุมชน ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาป่า ออกลาดตระเวน และทำแนวป้องกันไฟป่ารอบๆ พื้นที่อนุรักษ์
การปรับเปลี่ยนหลังจากได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทชุมชน ปีี 2560-2561
ชุมชนดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ร่วมกันดูแลและเฝ้าระวังภัยคุกคาม ทั้งจากคนและภัยธรรมชาติในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงการเป็นหูเป็นตาช่วยดูแลป่าอนุรักษ์ในพื้นที่ใกล้เคียง พบสัตว์ป่าหลากหลายชนิด และมีจำนวนมากขึ้นในป่าชุมชน เช่น เก้ง เลียงผา หมูป่า กระรอก นกเขาเป้า อีเห็น ตะกวด นกปรอดหัวโขน ตัวนิ่ม หมีควาย หมีขอ ลิง วอก กระแต ตัวอ้น ฯลฯ ชุมชนสามารถควบคุมการเกิดไฟป่า ป้องกันการบุกรุก และการทำลายป่าที่เป็นปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม โดยชุมชนได้ร่วมกับเครือข่ายการวิจัยภาคเหนือตอนบนสำรวจทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เพื่อเป็นฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ นำมาใช้ในการวางแผนการจัดการป่า พัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วมการอนุรักษ์ รวมถึงสร้างเครือข่ายชุมชนนักอนุรักษ์คนลุ่มน้ำห้วยหาด
ขณะเดียวกันชุมชนสามารถฟื้นคืนคุณภาพน้ำในลำห้วยหาดที่เคยปนเปื้อนสารเคมีเจือปนอยู่ในระดับสูงจนปลาลอยตายตามน้ำ ให้กลับมาเป็นแหล่งน้ำที่สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้ โดยนำน้ำมาผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดเพื่อดื่มใช้ในครัวเรือน และจำหน่ายภายในชุมชน คุณภาพน้ำที่ดีได้เป็นแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ฟื้นความหลากหลายให้พันธุกรรมสัตว์น้ำ โดยเฉพาะการกลับมาของปลามัน ปลาท้องถิ่นที่เกือบจะสูญหายไปจากลำห้วยหาด ซึ่งได้ต่อยอดทำโครงการเพาะพันธุ์ปลาก่อนที่จะปล่อยสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ
การสร้างกฎกติกาของชุมชนที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมผ่านเวทีประชาคม และการตั้งกลุ่มไลน์ในการสื่อสารพูดคุยในกลุ่มย่อยต่าง ๆ ทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน สามารถช่วยกันคิด ทำ และหาทางออกหากเกิดปัญหา หรือระดมความเห็นเพื่อการพัฒนางานในหมู่บ้าน รวมถึงการแจ้งข่าว เตือนภัย และแลกเปลี่ยนเรียนรู้สาระที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ กระทั่งการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น สร้างความสมานฉันท์กลมเกลียว และความเป็นปึกแผ่นของชุมชน
ผู้นำและชุมชนคำนึงถึงการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรม สะท้อนจากการจัดการบริการท่องเที่ยวและพักผ่อนที่อนุญาตให้เฉพาะคนในชุมชนจัดการท่องเที่ยวและบริการโฮมสเตย์ เพื่อสร้างรายได้และเงินหมุนเวียนในชุมชน จากการจ้างงานเแม่บ้าน แม่ครัว หรือไกด์นำเที่ยวที่เป็นคนในชุมชน ซื้อของวัตถุดิบ ทั้งไข่ไก่ เนื้อสัตว์ ผักป่าและผักปลูกของชุมชน รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์งานฝีมือที่เป็นคนในชุมชน ซึ่งปัจจุบันการพัฒนากลุ่มวิสาหกิจกลุ่มทอผ้า ทำไม้กวาด เครื่องจักสาน โรงผลิตน้ำดื่มสำหรับชุมชน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในชุมชนและสมาชิกมีรายได้กว่า 100,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
ชุมชนบ้านห้วยหาดเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงที่มีการพึ่งพาตนเองอย่างสมบูรณ์ ชาวบ้านปลูกพืชผัก ทำนา เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงวัว ทำให้มีอาหารอย่างพอเพียงในชุมชน มีการพึ่งพาปัจจัยจากภายนอกน้อยมาก เพาะปลูกและทำเกษตรผสมผสาน โดยไม่ใช้สารเคมี ดำเนินชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย สอดคล้องกับธรรมชาติ มีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นที่จะรักษาป่า สายน้ำ และความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกัน เป็นต้นแบบการเรียนรู้การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้กับชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน
ชุมชนบ้านห้วยหาด
หมู่ 7 ตำบลอวน อำเภอปัว จังหวัดน่าน
ประสานงาน : นางนัยนา ฑีฆาวงค์
28 หมู่ 7 ตำบลอวน อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120 โทร : 081 750 1484
ประชากร : 44 ครัวเรือน จำนวนประชากรทั้งหมด 128 คน
พื้นที่ดำเนินงาน : พื้นที่ป่าซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยภูคาและป่าผาแดงมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,951 ไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 34 ไร่ พื้นที่เกษตรกรรม 1,161 ไร่ และพื้นที่ป่าชุมชน 756 ไร่ ซึ่งประกอบด้วยป่าชุมชน 2 แปลง
- แปลงที่ 1 (720 ไร่): ก่อนที่จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชน เคยเป็นพื้นที่ทำกินและฐานปฏิบัติการทางทหาร จนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 จึงได้เริ่มมีการวางแนวเขตหมู่บ้าน
- แปลงที่ 2 (36 ไร่): เดิมเป็นพื้นที่ไร่เลื่อนลอย ในปี พ.ศ. 2532 ชุมชนมีความต้องการที่จะสร้างแหล่งน้ำประปาสำหรับหมู่บ้าน จึงได้เริ่มอนุรักษ์พื้นที่นี้ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนในปี พ.ศ. 2559 (ตามเอกสารเลขที่ ทส 1604.43/19659 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559)
ระยะเวลาในการทำงานอนุรักษ์ : ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 – ปัจจุบัน (รวม 14 ปี)