กว่างนอกสังเวียน โดย พวงเพชร สุพาวาณิชย์
คำนิยม
ผู้เขียน “กว่างนอกสังเวียน” ได้รับแรงบันดาลใจจากการเรียนรู้ระบบธรรมชาติจากปราชญ์ชาวบ้าน เรื่องสั้นเรื่องนี้มีจุดเด่นน่าสนใจที่สามารถค้นคว้าวิถีชีวิตของด้วงกว่างกับการละเล่นพื้นถิ่นที่กำลังจะสูญหายมาประสานกับเรื่องเล่าวิถีชีวิตของมนุษย์และนำไปสู่การสร้างนิเวศสำนึกในตัวละครในตอนจบ
เนื้อเรื่องนำเสนอเรื่องราวของครอบครัวที่มีสมาชิก ๓ รุ่น คือรุ่นปู่ ย่าผู้ใช้ชีวิตที่บ้านเกิดในชนบท รุ่นพ่อและรุ่นลูกที่ย้ายถิ่นฐานมาใช้ชีวิตในเมือง ในช่วงปิดภาคเรียน ตัวละครรุ่นพ่อและรุ่นลูกได้ไปเยี่ยมปู่ย่า ที่มีชีวิตเรียบง่ายและขยายพื้นที่ปลูกสวนป่ารวมทั้งปลูกพืชผักผลไม้เพื่อเป็นอาหารในครัวเรือน แม้ว่าพื้นที่ ในชนบทกำลังเสื่อมโทรม ป่าไม้ลดลงอีกทั้งยังมีปัญหาการใช้สารเคมีปริมาณมากในการเกษตร เด็กๆได้รู้จักและเรียนรู้วิถีชีวิตของกว่างจากการเล่นชนกว่างที่ไม่ได้เป็นเพียงการละเล่นธรรมดาแต่เป็นภูมิปัญญาที่ชาวล้านนาพยายามอนุรักษ์และสืบทอดรักษา อีกทั้งยังได้แง่คิดจากการ “ผั่นกว่าง” ว่าแม้ในการต่อสู้ กว่างก็รู้จักแพ้ ไม่ได้สู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อชัยชนะเท่านั้น วิถีชีวิตของด้วงกว่างและการกลับไปอยู่ในธรรมชาติทำให้ตัวละครที่เป็นคนเมืองตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติและสร้างสำนึกให้ช่วยกันฟื้นฟูและดูแลธรรมชาติเพื่อระบบนิเวศที่ยั่งยืน
รศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร
(ประธานกรรมการประเมินคุณค่าผลงาน รางวัลลูกโลกสีเขียว ประเภทงานเขียน)
กว่างนอกสังเวียน
--เจตนาซ่อนเร้นของการพบปะ--
“มาแล้ว มากันแล้ว” ย่ากลอยส่งเสียงอย่างตื่นเต้น รีบลุกพรวดเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน
“เอ้า ๆ ค่อย ๆ จะรีบไปไหน เดี๋ยวก็ได้ล้มหัวคะมำ” ปู่คงหัวเราะขำท่าทางของคู่ชีวิต แล้วเตือนให้ระวัง
“ไปเร็วปู่ ไปรับหลาน”
“จะรีบไปไหน ได้เจอกันอยู่ดี”
“สวัสดีครับพ่อ แม่”
ศุภโชค คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ลูกชายคนเดียวของย่ากลอยและปู่คงเดินยิ้มร่าเข้ามาไหว้พ่อกับแม่ที่บ้านเกิดของเขาในจังหวัดพะเยา ตามมาด้วยลูกชายและลูกสาววัยรุ่น เพชรและพลอย ปีนี้เพชรกำลังเตรียมตัวเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ส่วนพลอยนั้นอยู่ ม.4 ย่ากลอยกับปู่คงได้เห็นเพชรกับพลอยครั้งล่าสุดเมื่อเพชรจบชั้นมัธยมต้น และพลอยอยู่ชั้น ม.1 แม้ว่าได้เจอกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่าทีตื่นเต้นจัดของย่าก็คงไม่ได้น้อยลงกว่านี้เท่าไร แต่ย่าไม่ได้เห็นหลานรักมาถึง 3 ปี หากกระโดดจากเก้าอี้แล้วถึงตัวหลานได้เลย ย่าคงทำไปแล้ว ปู่จินตนาการภาพนั้นแล้วก็ขำเอ็นดู และมีความสุขมากไม่ต่างจากย่า แต่ขณะเดียวกันปู่ก็ได้กลิ่นของเจตนาซ่อนเร้นในการพบปะกัน ครั้งนี้ ล่องลอยเข้ามากระทบประสาทสัมผัสของความเป็นพ่อ ผู้รู้จักลูกของตัวเองดี
เพชรไหว้ปู่กับย่าแล้วก็รีบขอตัวเอาของไปเก็บ เขาไม่ได้อยากมาที่นี่ แต่พ่อยืนกรานว่าอย่างไรก็ต้องมา พลอยยังคงคลอเคลียกับย่าด้วยความคิดถึง พลอยชอบกินขนมไทยฝีมือย่า เธอดีใจมากที่ย่าทำรอไว้ให้หลายอย่าง ทั้งข้าวเหนียวกลอย ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ แล้วยังมีผลไม้จากต้นไม้รอบบ้านวางไว้เต็มโต๊ะ ทั้งลำไย ฝรั่ง มะละกอ ขนุน ใบหน้าของพลอยที่เคี้ยวขนมตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อยทำให้ย่าปลื้มใจจนยิ้มแก้มปริ สีหน้าเย็นชาของเพชรตั้งแต่เข้าบ้านมาจึงไม่ได้ทำลายบรรยากาศการต้อนรับและใจคนรอมากจนเกินไปนัก
คืนแรกของผู้มาเยือน หนึ่งในสามนั้นหลับสนิทเพราะพูดคุย หัวเราะ และวิ่งเล่นรอบบ้านอย่างเพลิดเพลินจนเหนื่อย ส่วนอีกสองกว่าจะหลับก็ดึกดื่น หนึ่งคนรู้สึกอึดอัดกับสถานที่และสภาพแวดล้อม เพราะบ้านในชนบททางภาคเหนือที่ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนักและสภาพแวดล้อมที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าทำให้เขาต้องเดินหาสัญญาณไวไฟตลอดเย็น อีกหนึ่งครุ่นคิดถึงแต่บทสนทนาในวันรุ่งขึ้น เขากำลังสรรหาถ้อยคำให้ตัวเองมาใช้ โน้มน้าวใจพ่อแม่ให้บรรลุตามเจตนาที่หมายมั่นไว้
เสียงปอกเปลือกและหั่นอ้อยดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เด็กชายตัวขาวท่าทางคล่องแคล่ว กำลังทำ “ด่าน” ไว้สำหรับล่อด้วงกว่าง ที่บริเวณหลังบ้านของปู่คงกับย่ากลอย
“ระวังมือด้วยนะเมฆ”
“สบายครับย่า นี่มันมือชั้นเหนือเมฆ”
“กว่าจะเอาด่านไปวางก็เย็น ๆ โน่น ทำไมรีบมาทำตั้งแต่เช้า”
“ก็ผมอยากมาอยู่กับย่า” เมฆเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่ง ส่งสายตาหวานให้ย่า ย่ากลอยขำเอ็นดูในความทะเล้นของเมฆ
“ได้ยินว่าเพื่อนมาล่ะไม่ว่า อยากเจอเพื่อนล่ะสิ”
“เมฆ” เด็กชายวัยไล่เลี่ยกับพลอย มักจะมาขลุกอยู่ที่บ้านของปู่คงกับย่ากลอยในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนบ้าง วันหยุดบ้าง และโดยเฉพาะช่วงปิดเทอม เพราะที่นี่มีข้าวปลาอาหารให้กินและมีความอบอุ่น ซึ่งเมฆหาไม่ได้ จากบ้านของตัวเอง เนื่องด้วยพ่อแม่ล้วนออกไปทำงานหาเงิน ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน บางครั้งพ่อกับแม่ก็หายไปนาน ๆ โดยที่ไม่ได้ทิ้งเงินหรืออาหารไว้ให้เมฆเลย ช่วงปิดเทอมปู่กับย่ามักจะหางานในสวนให้เมฆทำเป็นเรื่องเป็นราว เมฆจึงมีเงินติดตัวจากค่าจ้างที่ปู่ให้ แต่ที่ล้ำค่าไปกว่าเงินคือเมฆได้ความรู้จากการทำงานในสวนป่าของปู่ติดตัว มามาก เมฆตั้งใจว่าจะสร้างสวนป่าแบบปู่คงให้ได้บ้าง เพราะเมฆเห็นปู่มีรายได้จากสวนป่านี้ตลอด โดยไม่ต้องออกไปหาเงินข้างนอกเลย ปู่คงกับย่ากลอยจึงเป็นทั้งผู้ที่เมฆเคารพรักและเป็นแบบอย่างของเมฆ
พลอยที่เพิ่งตื่นและเดินหาย่าตามเสียงที่ได้ยินก็ได้มาพบกับเมฆและการทำด่านล่อด้วงกว่างของเขา
“ทำอะไรอยู่คะย่า”
“อ้าวพลอย ตื่นแล้วเหรอ”
เมฆยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว รอทักทายพลอยอยู่แล้ว ย่าหันไปเห็นท่าทีของเมฆแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ
“นี่เมฆนะ เพื่อนบ้านเรา เคยเจอกันบ้างแป๊บ ๆ ตอนมาบ้านย่าครั้งก่อน ๆ จำได้ไหม”
พลอยนึกอยู่ซักครู่ก็จำได้ “อ๋อ” พลอยลากเสียงยาว “จำได้ละค่ะ.. สวัสดีเมฆ”
“สวัสดีพลอย เรากำลังทำด่านล่อด้วงกว่างน่ะ มันชอบดูดน้ำหวานจากอ้อย”
“พรุ่งนี้ปู่จะสอนเล่นชนด้วงกว่างกัน” ย่าบอกจุดประสงค์ของการทำด่าน
“ชนด้วงกว่าง ??” พลอยงง
พลอยเดินเข้าไปดูด่านล่อด้วงกว่างที่เมฆทำใกล้ ๆ ยังไม่ทันจะได้ถามในสิ่งที่สงสัยต่อ ก็ต้องสะดุ้งตกใจเสียงอัน ดังลั่นของปู่ขึ้นเสียก่อน เสียงนั้นดังมาจากห้องครัวภายในบ้าน
“ไม่ได้ !! ยังไงพ่อก็ไม่ยอม”
“โธ่พ่อ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังจะอธิบายให้ฟังก่อนสิครับ” พลอยได้ยินเสียงดังของพ่อเธอตามมาด้วย
“แกนั่นแหละที่ต้องฟังพ่ออธิบาย สิ่งที่พ่อกับแม่ทำไว้จะส่งผลดีกับลูกหลานไปอีกหลายชั่วชีวิต”
“สิ่งที่ผมกำลังทำต่างหากครับ ที่จะส่งผลดีกับลูกหลานไปอีกนาน แต่เอาแค่ตรงหน้าเวลานี้ก่อนนะพ่อ ผมต้องการความมั่นคง มั่งคั่ง ลำพังงานประจำที่ทำอยู่มันไม่รวยหรอกครับ ผมจะส่งลูกเรียนหนังสือสูง ๆ ให้ได้มากที่สุด ที่ดินแปลงใหญ่ของพ่อ ผมแค่ขอปันมาบางส่วนเพื่อทำธุรกิจ ผมไม่ได้จะเอาไปขายซักหน่อย”
“จะหักร้างถางป่า เปลี่ยนแปลงสวนที่พ่อสร้างมาหลายสิบปี มาปลูกพืชแค่ไม่กี่อย่าง นี่คือความล่มสลาย ไม่ใช่หนทางของความมั่งคั่ง ยั่งยืน”
“โธ่พ่อครับ มันจะล่มสลายได้ยังไงกัน ก็ผมกำลังจะสร้างให้มันดีกว่าเก่า ให้มันเป็นระบบ และทำเงินได้เยอะ ๆ ”
“แค่ก้าวแรก แกก็เลือกทางผิดแล้ว”
“พ่อฟังนะ ผมมีแผนธุรกิจที่คิดมาอย่างถี่ถ้วน และผมมีที่ปรึกษาที่ดี ผมไม่ได้แค่จะปลูกพืชเศรษฐกิจ ในอนาคตผมอาจจะทำโฮมสเตย์หรือรีสอร์ทด้วย บ้านเราบรรยากาศดีจะตาย มันจะผิดทางตรงไหน”
“แกรู้อะไรแค่ไหนกันเชียว อย่างแรกที่แกต้องรู้ คือต้องรู้จักตอบแทนธรรมชาติเสียก่อน เขาให้เรามามากขนาดไหนแล้ว เรามีแต่ใช้ โดยไม่เคยคิดจะสร้างกลับคืน โลกถึงได้เสื่อมโทรมลงทุกวันแบบนี้ไง”
“โอ ไปกันใหญ่แล้วพ่อ โลกเสื่อมอะไรกัน ..เอาล่ะ เรายังไม่คุยกันวันนี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปหาเพื่อนก่อน”
ศุภโชคพยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง แล้วคิดว่าค่อยหาทางบรรลุเป้าหมายในวันหลัง ครั้งนี้เขารู้ว่า โน้มน้าวพ่อไม่ได้แน่ ส่วนปู่คงแม้จะผิดหวังในตัวลูกชาย แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ และกลับโล่งใจที่ได้รู้ถึงเจตนาซ่อนเร้นของการพบปะกันในรอบนี้เร็วกว่าที่คิดไว้
---ด่านล่อด้วงกว่าง—
พลอยอยากปอกอ้อยเพื่อทำด่านล่อด้วงกว่างบ้างจึงขอย่าหัดทำ แม้ย่าจะกลัวพลอยพลาดพลั้งแต่ก็ยอม ให้ทำ ด้วยอยากลดความกังวลของหลานจากความขัดแย้งเมื่อครู่ ย่าสอนพลอยทีละขั้นและกำชับให้ระวัง และเมฆก็คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไม่นานนักพลอยก็เริ่มทำได้ แม้จะช้า ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมฆ แต่พลอยก็ปอกเปลือกอ้อยได้เรียบสวย
“ได้แล้วค่ะ ของโปรดของด้วงกว่าง” พลอยชูอ้อยที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วขึ้นอย่างภูมิใจ
เพชรที่เพิ่งตื่นเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ ว่าย่าและพลอยทำอะไรกัน ย่าจึงชวนเพชรทำด่านล่อด้วงกว่างด้วย เพชรส่ายหัวแล้วบ่นหิว ย่าจึงให้เด็ก ๆ ทั้งหมดวางมือ แล้วไปกินอาหารเช้ากันก่อน
ปู่คงเล่าให้เด็ก ๆ ฟังระหว่างมื้ออาหารว่า เมื่อก่อนด้วงกว่างหาได้ง่าย แต่ตอนนี้ลดน้อยลงมาก เพราะ ป่าไม้ลดลง ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนก่อน และการใช้สารเคมีปริมาณมากในการทำเกษตรก็ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นแปลงไร่ข้าวโพด ไร่ยางพารา ไร่มันสำปะหลัง สวนลำไย นาข้าว ฯ หรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยวต่าง ๆ ที่อุดมไปด้วยปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงอย่างเข้มข้น สารเคมีที่เป็นอันตรายเหล่านี้ทำลาย แหล่งที่อยู่อาศัยและตัวอ่อนของด้วงกว่าง แต่สวนป่าที่ปู่เพียรสร้างด้วยการค่อย ๆ ซื้อที่ดินเพิ่มทีละนิด แม้จะเป็นพื้นที่ที่ผ่านการใช้สารเคมีมาก่อน แต่เมื่อหันมาปลูกป่าที่มีต้นไม้หลากหลายเป็นเวลานาน ดินที่เสื่อมโทรมก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น จนตอนนี้ปู่กล้าพูดได้เต็มปากว่า สวนป่าของปู่นั้นอุดมสมบูรณ์และมีด้วงกว่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เราจะหากว่างได้ง่ายขึ้นโดยการใช้เหยื่อล่อไปผูกไว้ตามแหล่งที่กว่างชอบอยู่ เช่น ต้นหางนกยูง ต้นมะค่าโมง หน่อไผ่ ต้นไม้ที่มีผลไม้สุก หรือที่ต้นคาม ด้วงกว่างจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า แมงคาม เราจะได้ยินชื่อนี้ในแถบภาคอีสาน เวลาที่หากว่างได้ง่ายที่สุดคือตอนเช้ามืด เพราะกว่างยังไม่กลับเข้าไปอาศัยอยู่ใต้ดิน
“ด้วงกว่างเป็นแมลงปีกแข็ง มันมีหลายชนิดนะ แต่ด้วงกว่างทุกชนิดจะมีวงจรชีวิตที่คล้ายกัน คือ ช่วงที่ยังเป็นไข่และวัยอ่อนใช้เวลาอยู่ในดิน 1-2 เดือน จากนั้นก็จะกลายเป็นหนอนหรือตัวด้วงสีขาว แล้วเป็นดักแด้อีก 1 ปี” ย่าอธิบายวงจรชีวิตของด้วงกว่าง
“ช่วงที่เป็นหนอนและดักแด้มันจะใช้ชีวิตอยู่ในโพรงใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธาตุอาหาร เช่น มีไม้ผุหรือมูลสัตว์ ผสมอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วพอมันขับถ่ายออกมา มูลของมันก็กลายเป็นปุ๋ยคืนสู่ผืนดิน ด้วงกว่างจึงมีความสำคัญต่อระบบนิเวศมาก เพราะมันช่วยย่อยสลายซากพืชให้เป็นปุ๋ยตามธรรมชาติ” ปู่เสริมถึงความสำคัญของด้วงกว่าง
“พอมันออกจากดักแด้มาแล้ว ก็เรียกว่าตัวเต็มวัย กลายเป็นแมลงด้วงกว่างใช่มั้ยคะ”
พลอยพูดตามที่เคยเรียนรู้เรื่องแมลงมาบ้าง
“ถูกต้อง” ปู่ตอบพลางลูบหัวพลอยอย่างเอ็นดู “ช่วงของการเป็นตัวเต็มวัยนี้ มีระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 2-3 เดือน”
“ด้วงกว่างจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น เราจะพบด้วงกว่างในฤดูฝน หลังฝนตกลงมาดินก็อ่อนตัวลง ด้วงกว่างที่เจริญเติบโตเต็มที่ก็จะดันดินนิ่ม ๆ ออกมาสู่โลกภายนอกเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ เช่น ยางไม้ ยอดพืชผัก ผลไม้สุก น้ำหวานจากอ้อย” ย่าเสริมด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้จินตนาการถึงภาพเหล่านั้น
“แล้วทำไมเราต้องไปจับด้วงกว่างมาชนกันด้วยละค่ะปู่” พลอยสงสัย
“ก็เพราะมันเป็นนักสู้น่ะสิ”
“แล้ว..มันจะสู้กันไปทำไมคะปู่”
“อยากรู้ใช่ไหมล่ะ”
“ค่ะ” พลอยตอบอย่างใคร่รู้
“แล้วเพชรล่ะ อยากรู้ไหม”
“ไม่ค่อยครับ” เพชรบ่ายเบี่ยงด้วยรักษาท่าที แต่ใจจริงแล้วก็อยากรู้เช่นกัน ย่าอ่านความรู้สึกของเพชรแล้วโน้มน้าว
“ไม่ค่อย ก็แสดงว่ายังมีความอยากรู้อยู่บ้างนิดหน่อย งั้นเดี๋ยวตอนเย็นเราไปวางด่านล่อด้วงกว่างด้วยกันนะ”
“เดี๋ยวตอนกลางวันปู่จะทำคอน ซึ่งก็คือท่อนไม้ หรือเวทีสำหรับให้ด้วงกว่างชนกันไว้ให้ก่อน”
เพชรสนใจด้วงกว่างมากขึ้นตั้งแต่รู้ว่านำมาแข่งขันชนกันได้ เพชรเติบโตมากับสภาพแวดล้อมของการแข่งขันแบบคนเมือง เพชรกระโดดลงสนามแข่งทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน กีฬา ความสามารถพิเศษ จะเรียกว่าการชนะการแข่งขันทำให้เพชรรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากขึ้นก็ว่าได้ และเพชรก็เป็นนักเรียนที่โดดเด่น สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนจากการแข่งขันต่าง ๆ ได้เสมอ การแข่งขันสำหรับเพชรหมายถึงการต้องเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ส่วนพลอย แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต่างกันมาก แต่โดยพื้นนิสัยพลอยเป็นคนสนุกสนาน ไม่ชอบประชันขันแข่งอะไร กับใคร โดยเฉพาะการแข่งขันที่ทำให้เครียด เพื่อนที่สนิทด้วยก็มีนิสัยคล้ายคลึงกัน แต่ถ้าเป็นการแข่งกันสนุก ๆ พลอยเป็นต้องอยู่ในวงนั้นด้วยเสมอ
ตกเย็นปู่คงและย่ากลอยก็พาหลาน ๆ ไปที่ท้ายสวน เพื่อนำอ้อยที่ปอกเปลือกแล้วไปผูกไว้กับต้นไม้ที่ ด้วงกว่างมักจะอาศัยอยู่ในตอนกลางคืนเพื่อเป็นด่านล่อ พลอยตื่นเต้นว่าจะมีด้วงกว่างมาติดด่านจริงไหม ย่าบอกเดี๋ยวพรุ่งนี้รู้กัน เพชรแม้จะมีท่าทีเคร่งขรึม และครุ่นคิดแต่เรื่องการทำพอร์ทสำหรับเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยตลอดเวลา ตั้งแต่ออกเดินทางจากบ้านมาจนถึงตอนนี้ แต่ก็อยากรู้เหมือนกัน นี่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเด็กทั้งสอง ก่อนนอนคืนนั้นเพชรหารูปด้วงกว่างในกูเกิลดู
“ด้วงกว่างมีเขาอย่างน้อย 1 คู่ อยู่ด้านบนและด้านล่างของส่วนหัว ซึ่งจะมีจำนวนและลักษณะสั้น-ยาวแตกต่างกันออกไปตามชนิด ซึ่งพบมากที่สุดถึง 5 เขา ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าและไม่มีเขา ตัวผู้มีเขายื่นไปข้างหน้าและโค้งเข้า ช่วงปลายเขาแยกเป็นสองแฉก”
เพชรอ่านข้อมูลลักษณะของด้วงกว่างอยู่ในใจ และเสิร์ชหารูปด้วงกว่างชนิดต่าง ๆ ดูอยู่ได้ไม่นาน ก็ผล็อยหลับไป
รุ่งขึ้นเด็ก ๆ ถูกปลุกแต่เช้า แม้จะยังงัวเงียอยู่ แต่ก็ยอมลุกโดยดี พลอยลิงโลด ตื่นเต้น อยากเห็นด้วงกว่างมากินเหยื่อล่อ จึงรีบล้างหน้าล้างตาและเรียกพี่ชายเสียงดัง เมฆมารออยู่แล้ว ทั้งหมดเดินตามปู่ย่าไปที่ท้ายสวน เมื่อไปถึงต้นไม้ที่มีด่านผูกไว้ ก็เห็นด้วงกว่างหลายตัวมาเกาะอยู่จริง ๆ ด้วย พลอยกระโดดตบมือดีใจ เพชรทึ่งกับภาพที่เห็น ความรู้สึกที่ได้เห็นด้วงกว่างกำลังดูดน้ำหวานจากอ้อยอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้กับความรู้สึกที่เขาเห็นภาพด้วงกว่างในกูเกิลนั้นต่างกันลิบลับ แม้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนกัน แต่ของจริงที่มีชีวิตทำให้เขาอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ และทำความรู้จักกับมัน
ปู่คงและเมฆเก็บด้วงกว่างที่มากินอ้อยลงใส่ตะกร้าที่มีฝาปิด พลอยขอช่วยด้วย เธอค่อย ๆ ยื่นมือไปปลดด่านที่มีด้วงกว่างเกาะอยู่อย่างระมัดระวัง ในไม่ช้าเพชรก็ทำบ้าง ย่ากลอยมองและยิ้มอย่างมีความสุข พลางนึก ในใจว่า เดี๋ยวเด็ก ๆ ก็จะได้เรียนรู้วิถีธรรมชาติผ่านการเล่นสนุกกันแล้ว
--กว่างรู้จักแพ้—
ปู่คงเดินนำทุกคนเข้ามาในบ้าน ค่อย ๆ เปิดฝาตะกร้าออก เด็ก ๆ ตื่นเต้นกับด้วงกว่างที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ในตะกร้า ปู่ให้เด็กแต่ละคนเลือกด้วงกว่างคนละ 1 ตัว สำหรับการแข่งขัน โดยปู่คงหยิบด้วงกว่างที่ไม่มีเขาแยกออกมาเลี้ยงไว้ในอีกตะกร้าหนึ่ง
“กว่างแบบนี้เป็นกว่างตัวเมีย เรียกว่ากว่างแม่อีลุ้ม มันไม่มีเขา จะไม่นำมาแข่งขันชนกัน”
“แล้วเราจะเลือกกว่างยังไงล่ะคะปู่”
“กว่างมีหลายชนิดนะ แต่กว่างที่เป็นนักสู้ที่สุดคือกว่างโซ้ง เขามันจะยาวและหนา ทั้งเขาล่างและเขาบน ลำตัวสีน้ำตาลแดง กว่างชนิดอื่น ๆ เขางามสู้กว่างโซ้งไม่ได้ และสู้ไม่เก่งเท่ากว่างโซ้งด้วย”
“ก็เพราะมันมีเขาที่เป็นอาวุธที่ดีกว่ากว่างชนิดอื่นนี่นา” พลอยคิดตาม
“ก็น่าจะเพราะอย่างนั้นแหละ” เมฆเสริม
ถึงตอนนี้เด็ก ๆ พยายามพิจารณากว่างกันอย่างใจจดใจจ่อ เมฆซึ่งชำนาญในการเลือกกว่างมากกว่า ยืนมองกว่างอยู่ข้างหลัง ปล่อยให้เพชรและพลอยเลือกก่อน เพชรพยายามเลือกหากว่างโซ้งที่ตัวใหญ่ มีเขายาว และดูแข็งแรงที่สุด เพราะปู่บอกว่ากว่างจะใช้เขาหนีบคู่ต่อสู้ และจะหนีบแน่นไม่ยอมให้หลุดง่าย ๆ เมื่อคู่ต่อสู้ถอย มันจะสอดเขาตามจนคู่ต่อสู้ตั้งหลักไม่ทัน หากหนีบจุดสำคัญซึ่งคือตรงโคนขาหน้าได้ ก็จะพยายามยกคู่ต่อสู้ชูให้ลอยขึ้น ซึ่งถือว่าได้ชัยชนะ ส่วนการพ่ายแพ้ แม้กว่างที่สู้ไม่ไหวจะไม่ได้ถูกคู่ต่อสู้หนีบจนตัวลอย แต่ถอดใจเสียเอง ไม่ยอมสู้ต่อ ก็จะถือว่าอีกฝ่ายได้รับชัยชนะเช่นกัน
เสียงป๊อก ๆ ของไม้เคาะจังหวะที่กระทบกับคอนดังขึ้นเพื่อโหมโรงให้คู่ต่อสู้เกิดความคึกคะนอง หลังจากที่ปู่อธิบายวิธีการชนกว่างให้เพชรและพลอยฟังแล้ว กว่างสองตัวอยู่คนละด้านของคอน รอบนี้กว่างของเมฆและกว่างของเพชรแข่งกัน ปู่สอนให้เพชรปั่นผั่นให้หมุนกับคอนเพื่อกระตุ้นให้กว่างเข้าสู้กับฝ่ายตรงข้าม ไม้ผั่นนี้ใช้ผั่นหน้ากว่างให้วิ่งไปข้างหน้า เขี่ยข้างกว่างให้กลับหลัง หรือเขี่ยแก้มกว่างให้หันซ้ายหันขวาก็ได้ ถ้ากว่างไม่ยอมสู้ก็จะใช้ไม้ผั่นปั่นท้องให้เกิดความฮึกเหิม เร่งเข้าต่อสู้กัน เสียงเชียร์ของปู่ ย่า และพลอยดังขึ้นแข่งกับเสียงไม้เคาะที่กระทบคอน เพชรเอาจริงเอาจังกับการผั่นกว่างมาก กว่างของเพชรตั้งท่าสู้มากในตอนเริ่มต้น แต่พอถึงเวลาแข่งจริงกลับไม่ยอมเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ เพชรจึงผั่นกระตุ้นกว่างสุดกำลังจนหน้าดำคร่ำเครียด กว่างของเพชรเริ่มฮึกเหิมขึ้น เดินเข้าหาคู่ต่อสู้ กว่างทั้งสองดันกันไปมาอยู่พักใหญ่ แต่แล้วกว่างของเพชรก็ถอยบ้าง รุกบ้าง เป็นอยู่ อย่างนี้ แบบกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงเชียร์ลั่นก็ดังอยู่ไม่ขาดสาย ในที่สุดกว่างของเมฆก็ดันกว่างของเพชรจนถอยร่น และหนีบโคนขาหน้าได้ กว่างของเมฆยกกว่างของเพชรชูจนตัวลอยขึ้นและตกจากคอนลงไป เสียงเฮของอีกฝ่าย ดังขึ้น เพชรโมโห ทุบมือลงบนโต๊ะพร้อมตะโกน
“เป็นไปไม่ได้ !!”
“เพชร ใจเย็น ๆ ลูก นี่แค่การแข่งขันกันสนุก ๆ” ย่าเดินเข้าไปโอบไหล่เพชรปลอบโยน
เพชรสะบัดตัวออก “ก็เพราะแข่งขันน่ะสิครับ ผมถึงต้องชนะ กว่างของผมดูแข็งแรง เขาก็ยาว และผมก็ผั่นมันอย่างเต็มที่ แล้วมันจะแพ้ได้ไง”
ปู่เข้ามาหยิบกว่างของเพชรขึ้นพิจารณาดู “อ๋อ นี่มันกว่างง่อนง็อก”
“กว่างเหลาะแหละน่ะเหรอครับปู่” เมฆถาม
“ใช่แล้วล่ะ ที่ท้ายทอยตรงโคนเขาบนของมันเป็นปม ไม่เรียบ”
“อ้าว แล้วทำไมปู่ไม่บอกเพชรล่ะครับ”
“ปู่ไม่ทันสังเกตน่ะ ลักษณะกว่างชนที่ดีส่วนหัวต้องสูง ท้ายทอยลาดลงเป็นสง่า แต่ถ้าท้ายทอยตรงโคนเขาบน เป็นปม ไม่เรียบตลอด เรียกว่า ‘กว่างง่อนง็อก’ เป็นกว่างที่มีนิสัยเหลาะแหละ เดี๋ยวสู้ เดี๋ยวไม่สู้”
“อ๋อ ถึงว่า เมื่อกี้มันเป็นแบบนี้เลยค่ะปู่ เดี๋ยวก็เดินหน้าเหมือนจะรุก แล้วอยู่ ๆ ก็ถอยหลัง”
“ผมไม่ยอม ผมเสียเปรียบ ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน” เพชรตาแดงก่ำ กำมือแน่น
ศุภโชคที่เพิ่งกลับมาจากธุระข้างนอก ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจึงเดินเข้ามาดู
“ทำอะไรกันอยู่ครับเนี่ย เสียงดังกันเชียวลูก” ศุภโชคเห็นสังเวียนด้วงกว่าง ตาของเขาเบิกกว้างขึ้น
“ฮ้า นี่แข่งชนกว่างกันอยู่เหรอครับ”
“พ่อรู้จักด้วยเหรอคะ”
“ไม่ใช่รู้จักธรรมดานะ พ่อนี่แหละอดีตแชมป์ชนกว่างของหมู่บ้าน”
“โวว จริงเหรอคะพ่อ” พลอยตื่นเต้นตาวาว
ย่ากลอยหัวเราะชื่นมื่น และเสริมลูกชาย
“พ่อของหลานเอาจริงเอาจังมาก ไม่ได้แค่จับมาเล่นเป็นครั้งคราวแบบนี้นะ แต่ถึงกับเลี้ยงกว่าง และหัดให้กว่างของตัวเองเป็นยอดนักสู้แห่งขุนเขาเลยเชียว”
“มีการเลี้ยงกว่างเพื่อเป็นนักสู้กันเลยเหรอคะ”
“เป็นประเพณีของคนล้านนาเชียวล่ะ การชนกว่างไม่ใช่แค่การละเล่นธรรมดา แต่เป็นภูมิปัญญาที่ชาวล้านนาพยายามอนุรักษ์และสืบทอดรักษา”
“เอาล่ะ เรามาแข่งขันกันใหม่นะ คราวนี้ปู่จะเพิ่มตัวช่วยให้ด้วย”
“ตัวช่วยอะไรครับ” เพชรถาม
ปู่เดินไปที่ตะกร้าอีกใบที่ใส่กว่างแม่อีลุ้มแยกไว้ ปู่เปิดตะกร้าแล้วพิจารณาดูกว่างซักครู่ แล้วปู่ก็หยิบกว่างแม่อีลุ้มออกมาหนึ่งตัว แล้วเดินกลับมาที่สังเวียนการแข่งขัน ปู่เปิดฝาไม้ที่ทำเป็นสลักเลื่อนข้างล่างของคอนออก
“โอ๊ะ” พลอยอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ
ปู่ใส่กว่างแม่อีลุ้มเข้าไป อุดด้วยเศษผ้าแล้วปิดด้วยฝาไม้ที่ทำเป็นสลักเลื่อนเข้าอีกที ให้รูกลางคอนด้านบนเห็นด้านหลังของกว่างตัวเมีย
“หนูก็สงสัยอยู่เชียว ว่าทำไมคอนไม้ถึงมีรูตรงกลางนี้ คิดอยู่ว่าไม้เป็นรูกลวงเองหรือปู่ทำขึ้นมา”
“คราวนี้ลองแข่งชนกว่างกันใหม่นะ ดูสิว่าจะเป็นยังไงบ้าง เพชรเลือกกว่างตัวใหม่ได้เลย”
เพชรรีบเดินตรงไปเลือกกว่างตัวใหม่ในตะกร้า เขาพิจารณาเลือกกว่างด้วยข้อมูลใหม่ที่เพิ่งรู้ ถึงลักษณะของกว่างที่เหลาแหละ เพชรระวังไม่เลือกกว่างที่มีปมตรงท้ายทอยมาอีก
เสียงป๊อก ๆ ของไม้เคาะจังหวะที่กระทบกับคอนดังขึ้นอีกครั้ง กว่างสองตัวอยู่คนละด้านของคอน พ่อยืนอยู่ข้าง ๆ เพชร คอยสอนและเชียร์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง เสียงเชียร์ดังขึ้น
“ไปเลย ไป ไป ไป” เพชรผั่นกว่างเต็มที่
“เพชร เอาไม่ผั่นที่เขาหน่อยลูก”
เพชรทำตามที่พ่อบอก กว่างของเขาเริ่มเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ ยิ่งเดินไปใกล้ถึงคาน กลิ่นของตัวเมียที่โชยมา ก็ทำให้กว่างกระตือรือร้น ฮึกเหิมที่จะต่อสู้มากขึ้น
“ผั่นหน้ากว่างหน่อยลูก ให้มันวิ่งไปข้างหน้า”
เพชรผั่นสุดกำลัง “ให้มันได้อย่างนี้สิ ไปเลยลูก ไป ไป” เพชรเชียร์กว่างของตัวเองอย่างลุ้นเต็มที่
“เมฆ ผั่นกว่างให้หันซ้ายกลับไปหน่อย” ปู่แนะนำเมฆบ้าง
เสียงเชียร์ของทั้งสองฝ่ายดังลั่น การผั่นกว่างก็ยังเป็นไปอย่างเข้มข้น ประกอบกับกลิ่นของตัวเมียที่กระตุ้นการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ทำให้กว่างทั้งสองเข้าตะลุมบอน พยายามใช้เขาของตัวเองชนและหนีบกันอย่างเต็มที่ แรก ๆ กว่างของเพชรดูเหนือกว่าคู่ต่อสู้ กว่างของเมฆถอยร่นไปหลายครั้ง จนเพชรมั่นใจว่ากว่างของเขาต้องชนะแน่ แต่ถึงแม้จะถอยร่นไปกี่ครั้ง กว่างของเมฆก็ยังกลับมาฮึดสู้ใหม่ตลอด ยังไม่ยอมแพ้ จนกว่างของเพชรเริ่มเหนื่อยและอ่อนกำลังลง ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังลั่น จู่ ๆ กว่างของเพชรก็หมดกำลัง และหันหลังกลับไม่ยอมสู้ต่อ มันยอมแพ้เสียแล้ว
“เฮ้ย หยุดทำไมล่ะ ไปสิ ไป ๆ” เพชรยังคงผั่นกว่างอย่างต่อเนื่อง “ไปสิ ไป ฉันบอกให้ไปไง กลับไป ๆ”
“เพชร พอได้แล้วลูก กว่างของลูกมันยอมแพ้แล้ว” พ่อบอกเพชรด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เดี๋ยวสิครับ มันไม่ได้ตายซักหน่อย แล้วมันก็ไม่ได้ตกคอนด้วย จะแพ้ได้ไง ให้เวลามันหน่อยสิครับ”
“กว่างมันไม่สู้กันถึงตายหรอก อย่างมากก็แค่เขาหักหรือบาดเจ็บนิดหน่อย มันรู้จักแพ้น่ะ”
เพชรจ้องหน้า สบตาเมฆอย่างแข็งกร้าว “นี่แกว่าใคร”
“เมฆไม่ได้ว่าใครหรอกลูก เมฆพูดถึงธรรมชาติของกว่างน่ะ” ย่าปลอบโยนเพชรอย่างเมตตา
--กว่างนอกสังเวียน—
ปู่ไกล่เกลี่ยสถานการณ์แล้วหยิบกว่างตัวเมียออกมาพร้อมทั้งกว่างตัวผู้ทั้งสอง เดินออกไปที่สวนหลังบ้าน ย่ากวักมือเรียกให้ทุกคนตามไป ปู่ปล่อยกว่างคืนสู่ธรรมชาติ เมื่อปล่อยแล้ว กว่างตัวผู้ที่ชนะการแข่งขันก็เดินไปหาตัวเมียและผสมพันธุ์กัน
“มันสู้กันก็เพราะเรื่องนี้แหละ เพื่อการผสมพันธุ์” ปู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เพชรอ้าปากค้าง
“ปู่ก็เลยเอากว่างตัวเมียไปใส่ไว้ในคอน เพื่อให้กว่างตัวผู้แย่งกันเหรอคะ” พลอยถาม
“ถูกต้อง นี่เป็นวิถีธรรมชาติ และเป็นวิธีการดั้งเดิมของการแข่งขันชนกว่าง กลิ่นของตัวเมียจะกระตุ้นให้ตัวผู้ เข้าต่อสู้แย่งชิงกัน”
“กว่างตัวเมียในธรรมชาติมีน้อยกว่ากว่างตัวผู้มาก มันจึงต้องแข่งกัน เพื่อให้ตัวที่แข็งแรงกว่า มีลักษณะดีกว่า ได้มีโอกาสผสมพันธุ์ และรักษาเผ่าพันธุ์ที่ดีของตัวเองต่อไป”
“ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ” เพชรพึมพำเบา ๆ อย่างเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
พ่อเดินมาโอบไหล่เพชร “ใช่แล้วเพชร เมื่อก่อนพ่อก็เคยเอาจริงเอาจังไม่แพ้เพชรเลย แต่พอรู้แล้วก็ขำ ๆ นะ”
“ที่แท้นักสู้ของเราก็สู้เพื่อชิงนางนี่เองนะคะ” พลอยหัวเราะชอบใจ
“พออยู่นอกสังเวียน มันก็คือพวกเดียวกัน ช่วยกันดำรงเผ่าพันธุ์ของตัวเองตามวิถีที่ธรรมชาติได้ออกแบบไว้”
“โอ้โห คุณย่า ลึกซึ้งจังเลยค่ะ หนูชอบคำนี้จัง วิถีที่ธรรมชาติได้ออกแบบไว้”
คำพูดของลูกสาวสะดุดใจศุภโชค เขานิ่งกับคำพูดนั้นชั่วครู่
“กว่างตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์แล้ว มันก็จะขุดรูลงดินเพื่อวางไข่ แล้วก็จะฝังตัวตายอยู่ในนั้น ไข่ก็จะฟักเป็นหนอน ดักแด้ และเป็นกว่างในปีต่อ ๆ ไป” ย่าอธิบายต่อ
“โอ้โฮ เหมือนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่นี้เท่านั้นเลยค่ะ”
“ทุกสิ่งในโลกนี้ต่างมีหน้าที่ต่อระบบนิเวศของธรรมชาติ มนุษย์เราเองก็เช่นกัน แต่มนุษย์ไม่เคยคิดถึงข้อนี้ มีแต่ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ”
“แล้วมนุษย์เรามีหน้าที่อะไรต่อธรรมชาติเหรอครับปู่” เพชรถาม
“ดวงอาทิตย์มีหน้าที่ให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่น ต้นไม้ทำให้ฝนตก ให้อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค สัตว์ต่าง ๆ ก็เป็นอาหารและมีหน้าที่รักษาสมดุลในระบบด้วยวิถีชีวิตของตัวมันเอง ส่วนมนุษย์ผู้มีสติปัญญา ความสามารถมากมายจะมีหน้าที่อะไรต่อธรรมชาติดีล่ะ”
“เราก็มีหน้าที่ช่วยทำให้ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ขึ้นหรือเปล่าคะ” พลอยพูดความคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นทันทีในตอนนี้
“มนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเหมือนกัน เราก็ต้องมีหน้าที่ไม่ต่างไปจากสิ่งอื่น ๆ สิครับ” ความคิด สว่างวาบของเพชรก็เกิดขึ้นเช่นกัน
“ถูกต้องเพชร ถ้าเราช่วย จากที่ธรรมชาติจะสร้างได้แค่ร้อยก็กลายเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน”
“อย่างเช่นการช่วยกันปลูกต้นไม้ เพาะต้นกล้า ที่ผมช่วยปู่ทำทุกวัน” เมฆอวด
“เราใช้เวลาปลูกต้นไม้ 1 ต้น เพียงไม่กี่นาที เช่นถ้าเราปลูกมะม่วงใช้เวลา 3 นาที แต่มะม่วงต้นนั้นจะเจริญเติบโตและออกผลให้เรามีมะม่วงกินไปเป็นร้อยปี และเรายังได้ร่มเงา ได้อากาศที่ดีจากต้นมะม่วงอีก ที่มากไปกว่านั้นก็คือ เรายังได้เมล็ดมะม่วง ที่มีเมล็ดของเมล็ดของเมล็ดซ่อนอยู่ข้างในอีกไม่รู้จบสิ้น มะม่วง 1 ต้น จึงมีทั้งมูลค่าและคุณค่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” การอธิบายของปู่ทำให้ทุกคนเข้าใจได้โดยง่าย และเห็นภาพไปถึงอนาคตที่ยาวไกล
“แล้วถ้าเราไม่มีที่ปลูกต้นไม้เยอะ ๆ ล่ะคะ เราจะทำอะไรได้บ้าง”
“มีที่น้อย ก็ปลูกน้อย หรือถ้าไม่มีที่เลย ก็ช่วยกันดูแลรักษา อย่าทำลาย” เพชรตอบพลอยโดยจินตนาการถึงวิธีการดูแลรักษาในแบบที่เขาจะทำได้ไปด้วย
“การดูแลสิ่งแวดล้อม เช่นลดการใช้พลาสติก แยกขยะ นำขยะที่ใช้ได้ซ้ำกลับมาใช้อีก ก็ถือเป็นการทำหน้าที่อีกแบบใช่มั้ยครับ”
“ถูกต้อง” ปู่ตอบและยิ้มอย่างภูมิใจในตัวเด็ก ๆ
“หรือช่วยสื่อสารให้คนที่ยังไม่เข้าใจ ได้รับรู้และเข้าใจ ก็เป็นการทำหน้าที่ที่ดีอีกแบบจ้ะ” ย่าเสริม
“แต่ที่ผ่านมาเรามีแต่ใช้ แม้ธรรมชาติจะมีทรัพยากรให้เราใช้มากแค่ไหน ก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการของเรา”
ประโยคนี้ของพ่อทำให้ศุภโชครู้สึกว่ามวลก้อนหนัก ๆ ที่ผุดขึ้นมากลางลำตัวระหว่างบทสนทนาเรื่องหน้าที่กำลังดำเนินไป ได้แล่นขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอ เขาละอายใจในเจตนาของตัวเองในการมาเยี่ยมพ่อกับแม่ครั้งนี้ ปู่คงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของลูกชาย จึงเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย
“เมฆกับเพชรยังไม่ได้จับมือกันเลย การแข่งขันจบลงแล้ว มาจับมือกันสิ คู่ต่อสู้ที่ดีต้องเคารพและให้เกียรติกันนะ”
เมฆเดินมาหาเพชร ยื่นมือมาให้จับอย่างจริงใจ “จะอยู่แก้มือกับฉันต่ออีกมั้ย”
เพชรสบตารับคำท้า แล้วจับมือเมฆ “แน่นอน เพราะฉันยังไม่ยอมแพ้” เพชรกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันให้โอกาสแก้มือทั้งช่วงฤดูฝนนี้เลย” เมฆส่งสายตาท้าทายหยอก
“ไม่น่าต้องใช้เวลานานขนาดนั้น ฉันมีพ่อเป็นแชมป์ชนกว่างทั้งคน จะกลัวอะไร”
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขความอบอุ่น
เย็นวันนั้น ศุภโชคออกไปวางด่านล่อด้วงกว่างกับเด็ก ๆ พร้อมกับเล่าถึงชีวิตวัยเด็กของเขาให้ฟังด้วย
“สมัยพ่อเด็ก ๆ เวลาวางด่านล่อด้วงกว่างไว้ จะได้กว่างเยอะมาก เยอะกว่าในตะกร้าเมื่อวานสองสามเท่าตัวเลย ปู่เคยเล่าว่าสมัยปู่ยังเด็ก แค่เขย่าต้นไม้ก็ร่วงลงมาเยอะแยะแล้ว พ่ออยากเห็นภาพแบบนั้นบ้างจัง”
“โห แค่เขย่าต้นไม้ก็ร่วงลงมาแล้ว แสดงว่าต้องมีกว่างเยอะมาก ๆ เลยนะคะ”
“ใช่จ้ะ เมื่อก่อนธรรมชาติอุดมสมบูรณ์กว่านี้มาก ๆ”
ศุภโชคมองไปรอบ ๆ สวนป่าที่พ่อสร้าง แล้วรำลึกขึ้นว่าเขาลืมสภาพแวดล้อมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอเรียนจบชั้นมัธยมแล้วเขาไปเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่กรุงเทพ จนจบปริญญาตรี ทำงาน เรียนต่อปริญญาโท ทำงาน แต่งงาน มีลูก ตลอดช่วงเวลาเหล่านี้ เขากลับมาบ้านหลังนี้นับครั้งได้ เขาหลงติดอยู่กับชีวิตเมืองกรุง กับการประชันขันแข่ง และการสร้างครอบครัวให้มั่นคง สถานะและความมีหน้ามีตาในสังคมเป็นสิ่งหอมหวลสำหรับเขา
หลังอาหารเย็น ศุภโชครำลึกความหลังวัยเด็กกับพ่อและแม่ แล้วชื่นชมพ่อและแม่ที่ขยายพื้นที่สวนป่าของตัวเองได้เพิ่มกว่าตอนเขายังเด็กมาก เขานึกภาพว่าหากพ่อและแม่ไม่ทยอยสะสมพื้นที่เหล่านี้ไว้ พื้นที่บ้านเขาเองก็คงจะเสื่อมโทรมไปด้วยจากสารเคมีที่เล็ดลอดเข้ามา แม้ความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของบริเวณป่าโดยรอบจะเทียบกับในอดีตไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาจากฝีมือและความมุ่งมั่นตั้งใจของพ่อและแม่
“พ่อปลูกไผ่เป็นแนวรั้วกั้นไว้ เพราะไผ่ดูดซับมลพิษได้ดีมาก ช่วยป้องกันให้พื้นที่ของเราปลอดภัย”
“จะให้เด็ก ๆ อยู่ที่นี่ตลอดช่วงปิดเทอมเลยหรือเปล่า” ย่ากลอยถามขึ้น
“แล้วแต่เด็ก ๆ น่ะครับ ว่าแต่ จะไม่กวนพ่อกับแม่มากไปเหรอครับ”
“โอ๊ย กวนเกินอะไรที่ไหนกัน” ย่ากลอยรีบปฏิเสธ
“แม่เขาคิดหาอะไรมาหลอกล่อให้เด็ก ๆ อยู่ตลอดเวลา จนเก็บไปฝันแล้วเนี่ย” ปู่คงกระเซ้าภรรยา
“บ้าน่า” ย่ากลอยยิ้มเขิน
ศุภโชคหัวเราะเสียงดัง “เดี๋ยวผมจะถามเด็ก ๆ นะครับว่าอยากอยู่กันซักกี่วัน”
ค่ำคืนนั้นศุภโชครำลึกความหลังในห้องที่พ่อนำถ้วยรางวัลที่เขาเคยชนะการแข่งขันด้วงกว่างไปเก็บไว้ ทั้งรูปเขาตอนเด็กและบรรยากาศรอบบ้านที่เขาเพิ่งตั้งใจซึมซับ ทำให้ความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความสุขแห่งช่วง วัยเยาว์ย้อนกลับมา ทั้งการเล่นสนุก และการมีผักผลไม้แสนอร่อยกินตลอดเวลา เขาไม่เคยต้องออกไปซื้อผักผลไม้ที่ตลาดกินเลย ทั้งผักกูด เชียงดา เห็ดถอบ กระถิน ขี้เหล็ก ชะอม ตำลึง ถั่วต่าง ๆ มะม่วง กล้วย ขนุน ฝรั่ง มะละกอ และผักผลไม้พื้นถิ่นอีกมากล้วนมีอยู่ในละแวกบ้าน แค่เดินออกไปไม่ไกลก็มีอาหารกลับมาแล้ว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ปู่คง ย่ากลอย ศุภโชค เพชร พลอย และเมฆ ออกไปเก็บด้วงกว่างด้วยกัน เพชรและเมฆเดินนำหน้าอย่างกระตือรือร้น การแข่งขันวันนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่างเพชรกับพลอยบ้าง พลอยกับย่ากลอยเดินจูงมือคุยกันกระหนุงกระหนิง ย่าชี้ให้พลอยดูต้นไม้ต่าง ๆ บอกชื่อของต้นไม้และสรรพคุณ ซึ่งพลอยชอบมาก ปู่คงและศุภโชคเดินรั้งท้ายอย่างช้า ๆ
“พ่อครับ”
“ว่าไง” ปู่คงหันมาสบตาลูกชาย
“ผม.. จะไม่ขอที่พ่อไปปลูกพืชไร่หรือสร้างรีสอร์ทอะไรแล้วนะครับ”
ปู่คงพยักหน้ารับ ยิ้มน้อย ๆ
“และเมื่อเช้าผมถามเด็ก ๆ แล้วนะครับ เขาอยากจะอยู่ที่นี่กันตลอดช่วงปิดเทอม เห็นว่ายังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ส่วนเรื่องพอร์ทเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัย เพชรเขาก็จะทำอยู่ที่นี่ครับ เขาบอกว่าที่นี่บรรยากาศดี”
ปู่งคงหัวเราะออกมาเสียงดัง “สมใจแม่เขาล่ะทีนี้”
“แล้วพ่อล่ะครับ สมใจมั้ย”
“อืม” ปู่คงพยักหน้าหนักแน่น “แล้วแกน่ะ ว่างเมื่อไหร่ก็มาช่วยดูแลสวนป่าบ้าง อีกหน่อยมันก็เป็นของแกและลูก”
“ครับพ่อ”
ปู่คงมองตาลูกชายด้วยความรู้สึกโล่งและวางใจ ทั้งสองเดินตามเด็ก ๆ ไปเก็บด้วงกว่างด้วยกันอย่างมีความสุข