134

กุศโลบาย โดย ชูชาติ ครุฑใจกล้า

กุศโลบาย

 

                    ตั้งแต่ตำรวจจับยึดเลื่อยยนต์ไปเมื่อปีที่แล้ว จึงเหลือเพียงขวานไว้เป็นเครื่องมือหากินเท่านั้น

แม้ประสิทธิภาพจะต่างกัน แต่ประสิทธิผลเท่ากัน

                   ไม่มีใครหรอกที่อยากจะฝ่าฝืนกฎหมายให้ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง แต่เมื่อเมียยังหิวลูกยังร้องเพื่อปากท้องก็ต้องทำ คนไม่มีความรู้และขาดโอกาสอย่างเขาจึงลงทะเบียนอาชีพอย่างเป็นทางการว่ารับจ้างทั่วไปก็เพียงแค่ได้มีอาชีพไว้ดำรงชีพเท่านั้นไม่คิดจะแสวงหาความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างเช่นคนมีปัญญาความรู้เขาคิดเขาหวังกัน  

 

เมื่อวานซืน

 

                        เมื่อบ่ายวานซืน เขาเดินตัดทุ่งมาที่นี่ หลังจากอุทกภัยเมื่อเดือนสิบสองจนต้องหนีขึ้นหลังคาบ้าน ก็เริ่มต้นนับแล้งเยือนตั้งแต่เดือนยี่เป็นต้นมา ผืนดินที่แข็งดั้งพื้นซีเมนต์อธิบายความหมายของคำว่าแห้งผากได้เป็นอย่างดี จะต่างกับทะเลทรายก็เพียงแค่ไม่มีทรายเท่านั้น ผู้คนบางนี้ไปหางานทำในกรุงเทพหรือไม่ก็ในเมืองอื่นไม่ต่างจากมดหนีตายต้องย้ายรัง เหลือเพียงพ่อแก่แม่เฒ่าอยู่เหย้าเฝ้าบ้านเท่านั้น ส่วนคนหนุ่มสาวหายไปในหมอกฝุ่นกว่าจะได้กลับมาก็ต่อเมื่อเริ่มฝนแรกโปรยลงดิน เขาเองก็เช่นกัน  เมื่อดิน น้ำ ลม ไฟ ขาดสมดุลบ้านเกิดจึงไม่ใช่ที่ควรอยู่อาศัย แม้แต่อาชีพรับจ้างก็ยังไม่มีคนจ้าง

                        เพราะคนเปลี่ยนแปลงธรรมชาติจึงเปลี่ยนไป นึกถึงสมัยที่ยังเป็นเด็กในหน้าแล้งก็ยังมีโคลนตม และผักบุ้งนาหญ้าเขียวให้เห็น น้ำในคลองในหนองหรือแม้แต่น้ำที่ขังในรอยตีนควายก็ยังดื่มกินได้ การทำนาที่อาศัยฝนปีละครั้ง แม้จะยากจนก็ไม่ถึงกับข้นแค้น ไยการชลประทานเข้าหา การพัฒนาเข้าถึงจึงเป็นเยี่ยงนี้ การทำนาสมัยใหม่ใช้ปุ๋ยใช้ยาทำให้ดินแปลงน้ำเปลี่ยน ทำให้ผู้คนยากจนกว่าเดิม ไม่มีผักในท้องนา ไม่มีปลาในท้องน้ำเหมือนแต่ก่อน ทุกอย่างจะต้องซื้อแม้แต่น้ำดื่ม

                        เขาเดินแลกหายใจกับแผ่นดินฝุ่นจนมาถึงป่าช้าหลังวัดจึงได้แลกเปลี่ยนลมหายใจกับใบไม้ ต้นไม้น้อยใหญ่แม้จะสร้างผืนป่าแห่งนี้ไม่ถึงห้าไร่แต่ก็ให้ความฉ่ำเย็นร่มรื่นแฝงด้วยบรรยากาศวังเวงน่าหวาดกลัว เพราะที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของภูตผีปิศาจซึ่งผู้คนไม่กล้ามารบกวน ต้นตะเคียนต้นสุดท้ายของตำบลขนาดประมาณสองคนโอบยืนแผ่กิ่งก้านดั่งมือทศกัณฑ์ ยืนต้นสูงเด่นงามสง่าด้วยอายุยาวนานกว่าต้นไม้ใดในบริเวณนี้ ก็ยิ่งเสริมสร้างบรรยากาศของป่าช้าให้น่าเกรงขามยิ่งขึ้นมีผ้าแพรหลากสีพันอยู่รอบโคนต้นสำแดงความศักดิ์สิทธิ์ด้วยฤทธิ์บารมี เพราะเป็นต้นไม้ที่ปู่ย่าตายายเล่าขานเรื่องเจ้าแม่ตะเคียนทองด้วยเรื่องเล่าต่างๆนานา จะเท็จจริงอย่างไรไม่มีใครพิสูจน์แต่พูดมาจากคนที่เชื่อถือได้ ชาวบ้านจึงกราบไหว้บูชา ขอโชคลาภเป็นที่พึ่งพิงอิทธิฤทธิ์บารมีมาจนถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ดอกไม้ธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้จึงกลาดเกลื่อนอยู่โดยรอบ จนหลวงพ่อพูดเหมือนน้อยใจอยู่บ่อยๆว่า คนหลงผีจนลืมพระ

                       เขาก็เป็นคนหนึ่งของบางนี้ที่รู้สึกหวาดกลัวตะเคียนต้นนี้มาตั้งแต่เด็ก ยิ่งเห็นปู่บูชาย่ากราบไหว้ด้วยแล้วก็ยิ่งเชื่อไปตามนั้น เมื่อโตขึ้นก็เคยสาบานสัญญากับภรรยาว่าจะรักเธอไปจนตายโดยมีแม่ตะเคียนต้นนี้เป็นสักขีพยาน นอกจากหลวงพ่อกับพระประธานในโบสถ์ก็มีเจ้าแม่ตะเคียนนี่แหละที่บูชากราบไหว้อย่างสนิทใจ

                      เขาคุกเข่าพนมมือแล้วบอกเล่าร้องขอกับเจ้าแม่ตะเคียนว่า

                      “วันพรุ่งนี้ลูกจะไปทำงานที่กรุงเทพ ขอเจ้าแม่คุ้มครองให้ลูกเดินทางโดยปลอดภัยทั้งไปและกลับ ได้พบเจอคนดี มีโชคลาภ ส่วนวันนี้ขอให้หลวงพ่อเมตตาให้ลูกได้ยืมเงินเป็นค่าเดินทางสักสามพันด้วยเถิด.....สาธุ”

                      หลวงพ่อซึ่งเป็นสมภารหรือเจ้าอาวาสกำลังนั่งจัดเรียงพวงมาลัยพลาสติกสีสันแปลกตาใส่กล่องกระดาษอยู่หน้ากุฏิ คงจะเตรียมไว้ขายงานบุญเข้าพรรษาเพื่อหาเงินพัฒนาวัดเหมือนเคย แม้ท่านจะเกิดในเจนเนอร์ชันบีเช่นเดียวกับเขาแต่ความคิดความอ่านทันสมัยก้าวหน้า ถือเป็นปราชญ์ของตำบลเลยทีเดียวความรู้ระดับเปรียญธรรมกับปริญญาดุษฎีบัณฑิต รวมกับวัตรปฏิบัติสมกับสุปฏิปันโนจึงเป็นปูชนียสงฆ์ของคนทั่วไปและได้รับยกย่องว่าเป็นพระนักพัฒนารูปหนึ่งของอำเภอนี้

                      “อ้าว  มาพอดี กำลังจะให้คนไปตามอยู่เชียว ทิดแก้วกับทิดขวดเพิ่งจะกลับไปเมื่อกี้นี่เอง จะเข้ากรุงเทพอีกคนล่ะสิ” หลวงพ่อทักขึ้นทันทีเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาหาแล้วก้มกราบ

                       “ครับหลวงพ่อ” เขาตอบรับ

                       “เขาให้ค่าแรงเท่าไร งานอะไร”หลวงพ่อถาม

                       “วันละห้าร้อย เป็นงานช่างไม้ครับ”

                       “ฝีมือช่างอย่างทิด ได้ค่าแรงแทบไม่ต่างจากจับกังมันไม่เสียศักดิ์ศรีไปหน่อยรึ”

                       “ขอแค่มีงานทำเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียก็พอใจ อยู่บ้านเราจะพากันอดตาย”

                       “อืม เหงื่อตกดีกว่าหิวข้าวว่างั้นเถอะ” หลวงพ่อพูดแล้วเอี้ยวตัวไปล้วงซองสีน้ำตาลในย่ามออกมายื่นให้เขา เขารับมาอย่างงงงง เรื่องที่หลวงพ่อจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามาขอยืมเงินนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก เพราะชาวบ้านที่ไม่มีเงินจะไปทำงานก็มาขอยืมจากหลวงพ่อกันทั้งนั้นซึ่งท่านก็เมตตาทุกผู้ทุกคนที่มา แต่ที่เขามึนงงสงสัยก็คือน้ำหนักที่ยังไม่ทราบจำนวนเงินที่อยู่ในซองนั้นซึ่งรู้สึกได้ว่ามากมายเกินกว่าที่ตั้งใจจะมาหยิบยืมไว้มาก และในแวบนั้นเขานึกถึงคำร้องขอต่อเจ้าแม่ตะเคียนขึ้นมาทันที

                       “ไม่ต้องไปหรอกกรุงเทพ มาทำงานให้วัดนี่แหละ ฉันตั้งใจจะเปลี่ยนประตูหน้าต่างโบสถ์และศาลาเสียใหม่แล้วแกะสลักภาพพุทธประวัติทุกบานจึงคิดว่าทิดนี่แหละเหมาะสมที่สุด จะได้ฝากฝีมือช่างของคนบ้านนี้ให้ลูกหลานได้ชื่นชม งานอย่างนี้สิมันถึงจะสมศักดิ์ศรีทิดจริงไหม” หลวงพ่อไขปริศนาเงินในซองให้เขาเข้าใจว่านี่คือเงินค่ามัดจำค่าแรงและฝีมือที่จ่ายให้ล่วงหน้า เขาดีใจที่จะได้งานได้เงินเกินกว่าที่คาดคิดไว้

                       “ครับหลวงพ่อผมจะทำให้สุดฝีมือเชียว” เขาตกลงรับงานทันทีโดยไม่ลังเล เพราะอาชีพรับจ้างทั่วไปส่วนมากคนเขาจะว่าจ้างให้ตัดไม้นับตั้งแต่ไม้ในป่าของนายทุนมาจนถึงไม้ในสวนไร่นาของชาวบ้าน ถ้าจะนับเป็นจำนวนก็หลายพันต้น นานนานเขาจะได้งานที่เขารักและอยากทำอย่างนี้สักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักประตูกุฏิ ขอบตู้พระไตรปิฎก และยากกว่าก็คือแกะสลักท่อนไม้ให้เป็นพระทั้งองค์ก็เคยทำให้หลวงพ่อเห็นฝีมือมาแล้ว แต่ครั้งนี้นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะได้มีโอกาสฝากฝีมือช่างอย่างศิลปินเลยทีเดียว

                      “เมื่อทิดรับปากฉันก็สบายใจ พรุ่งนี้ก่อนเพลฤกษ์ดีมากทิดเริ่มงานตั้งแต่พรุ่งนี้เลยนะตอนบ่ายๆทิดแก้วกับทิดขวดจะมาเป็นลูกมือให้ ฉันบอกกับมันแล้ว เพราะพรุ่งนี้เช้าฉันให้มันไปทำธุระแทนฉันที่อำเภอก่อน”

                     หลวงพ่อนอกจากเป็นนักกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดแล้วยังเป็นนักเจรจาชั้นเยี่ยมอีกด้วย เพราะมีทั้งภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญาและยังมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ การทำงานทุกอย่างหลวงพ่อจะตระเตรียมการไว้อย่างรอบคอบซึ่งเขาเองศรัทธาและเชื่อมั่นหลวงพ่อในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

                 “หลวงพ่อซื้อไม้มาแล้วหรือ” เขาถามอย่างกระตือรือร้น

                     “อูย...ราคาซื้อไม่ลงหรอกและต้องสั่งอีกต่างหาก ไม้ของเราก็มีอยู่แล้ว ก็ต้นตะเคียนไง อยู่ป่าช้ามานานเปลี่ยนที่อยู่มาอยู่ในโบสถ์บ้างใกล้พระใกล้พุทธจะได้ไปผุดไปเกิดซะที” หลวงพ่อพูดอย่างอารมณ์ดีในขณะที่เขามีอาการตกใจปนวิตกจริต

                     “ทิดไม่ต้องกังวลอะไร” หลวงพ่อเอื้อมมือมาแตะบ่าเขาเบาๆเหมือนเข้าใจความรู้สึกของเขาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เขาจึงพูดต่อไปว่า “ฉันขออนุญาตป่าไม้แล้วฉันรู้ดีว่าเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.  ส่วนผีนางตะเคียนฉันก็บอกเล่าแล้วเพื่อความสบายใจของทิดไม่มีปัญหาหรอก ทิดก็ตัดไม้มาหลายป่าทั้งตะเคียน มะค่า กระทั่งต้นโพธิ์ต้นไทร เคยมีผีมีเทวดามาหักคอไหมล่ะ เห็นมีแต่พวกป่าไม้เท่านั้นที่ปรากฏตัวให้เห็น”  แม้เขาจะสบายใจขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็อดหวาดกลัวไม่ได้

                     “หลวงพ่อไม่เชื่อว่าเจ้าแม่ตะเคียนมีจริงหรือ” เขาต้องการความแน่ใจ

                     “ฉันเชื่อในที่ฉันเห็นแล้วพิจารณาแล้วเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่าอย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล” หลวงพ่อถือโอกาสเผยแผ่ธรรมพระพุทธเจ้าให้เขาฟัง

                     “เราฟังเรื่องโกหกมาสามอายุคนเชียวหรือ” เขาแสดงความเห็นเชิงคำถาม หลวงพ่อหัวเราะหึหึในลำคอก่อนอธิบายต่อไปว่า

                     “อย่าใช้คำว่าโกหกเลยนะทิด เพราะโกหกเป็นอกุศล ให้พูดว่าเป็นการใช้กุศโลบายจะเหมาะสมกว่า ซึ่งแปลว่าอุบายอันแยบคาย หรือวิธีการให้คนได้คิดได้ทำในสิ่งที่ชอบที่ถูกที่ควร หรืออีกนัยหนึ่งคือวิธีการและเจตนาอันเป็นกุศลนั่นเอง เรื่องเล่าต่างๆนานาในโบราณมักจะเป็นเรื่องที่ทำให้คนหวาดกลัวเกือบทั้งสิ้น เพื่อคนจะได้ไม่กล้าประพฤติผิดประพฤติบาป ใช้สอนสำหรับคนที่มีสติปัญญาน้อยให้รู้เท่าเทียมกับผู้มีปัญญา จึงใช้ความกลัวซึ่งเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์เป็นเครื่องมือ”

                     เขาไม่อยากจะถามว่าคนที่สร้างเรื่องเจ้าแม่ตะเคียนมีวัตถุประสงค์หรือด้วยเหตุผลใด แต่ก็คงมีเจตนาอันเป็นกุศลอย่างที่หลวงพ่อว่า

                     “ชาวบ้านล่ะ เขาเข้าใจแล้วหรือ” แม้เขาจะเข้าใจและคลายกังวลเรื่องเจ้าแม่ตะเคียนแต่ก็ยังเป็นห่วงชาวบ้านที่ไม่เข้าใจจะลุกขึ้นมาคัดค้านให้วุ่นวายได้ซึ่งเขาไม่อยากเห็น หลวงพ่ออมยิ้มแล้วพูดว่า

                     “ทิดก็เป็นชาวบ้านคนหนึ่งใช่ไหม ถ้าทิดเข้าใจทำไมคนอื่นจะไม่เข้าใจล่ะ ฉันปรึกษาทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน กรรมการวัดทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามทั้งหมดไม่มีปัญหา นี่มันสมัยไหนแล้วจะมานั่งกราบไหว้ต้นไม้อย่างงมงายมันไม่สมควร แต่เอาเถอะ สำหรับคนที่นับถือศรัทธาแบบเรียกไม่ลุกปลุกไม่ตื่นฉันจะให้ทิดสลักหุ่นเจ้าแม่ตะเคียนขนาดเท่าตัวคนให้มีตัวตนเหมือนคนจริงยืนอยู่บนตอที่ตัดนั่นแหละ ดูดีกว่าเป็นต้นไม้เสียอีก ให้ทิดจินตนาการเอาเองว่าเจ้าแม่ตะเคียนน่าจะมีหน้าตาตัวตนอย่างไร เพราะฉันไม่เคยเห็นจึงคิดไม่ออกเลยบอกไม่ได้ ทิดเคยเห็นหรือเปล่าล่ะ” หลวงพ่อถามเชิงสัพยอกแล้วหัวเราะ

                     “ไม่เคยครับหลวงพ่อ เห็นแต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็วิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิตแล้ว ถ้าเห็นนางตะเคียนไม่แน่ใจว่าจะหนีทันไหม “  เขาพูดจบ เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของพระกับฆราวาสก็ผสมกันลั่นกุฏิ

 

เมื่อวาน

 

                     เมื่อวันวานสิบโมงเช้ากว่าๆ หลวงพ่อกับเขาพร้อมพระในวัดอีกสามรูปก็มายืนอยู่หน้าต้นตะเคียน ร่วมกันวางแผนกะวัดระยะที่ตัดและไว้ตอเพื่อทำฐานตั้งหุ่นเจ้าแม่รวมทั้งกำหนดทิศทางที่จะให้ต้นไม้ล้มลงหลังจากนั้นพูดคุยกันอีกเล็กน้อยหลวงพ่อกับพระลูกวัดก็ขอตัวจะไปฉันอาหารเพลและจะกลับมาดูอีกครั้งในตอนบ่ายซึ่งคาดว่าทิดแก้วกับทิดขวดก็จะกลับมาช่วยอีกแรง

                     ไม้ทั้งป่าเงียบสงบเหมือนกำลังอาลัยการจากลาของตะเคียนต้นนี้ ยังไม่มีลมพัดเหมือนเมื่อบ่ายวาน คนที่ใช้ชีวิตตัดไม้ในป่าเป็นอาชีพทำงานในผืนป่าตะวันตกทั้งป่าลึกป่าลับน่าจะคุ้นชินกับบรรยากาศเงียบๆนี้จนไม่มีคำว่าหวาดกลัว แต่ทำไมกับที่แห่งนี้ซึ่งมีต้นไม้ไม่กี่ไร่เขากลับมีความรู้สึกแปลกๆแทรกเข้ามา

                     เขาประจบมือไหว้ขอขมาแม้คำเทศนาบอกกล่าวของหลวงพ่อเมื่อวานยังก้องอยู่ในใจก็ตาม ถึงเขาจะไม่มีความหวดกลัวแต่ในส่วนลึกก็รู้สึกยำเกรง

                     เขาเหวี่ยงขวานแรกเสียงดังฉึก เปิดบาดแผลลึกตรงตามที่หลวงพ่อขีดเครื่องหมายไว้ให้ จนเห็นเนื้อไม้สีน้ำตาลแดงในบาดแผลนั้น เขาก้มหยิบดอกสีเหลืองอมน้ำตาลที่หล่นอยู่ตรงหน้ามาสูดดม กลิ่นหอมของดอกตะเคียนน้อยคนนักที่จะได้สูดสัมผัส เป็นกลิ่นที่ทำให้เขานึกขึ้นมาได้เมื่อครั้งยังเป็นเด็กไปวิ่งเล่นในหนองนาแล้วเปลือกขอยโข่งบาดจนเป็นไข้เพราะเกิดแผลอักเสบ ปู่ใช้เปลือกตะเคียนต้นนี้แหละมาบดทาแผลแล้วเก็บดอกมาใส่พานตั้งไว้ที่หัวนอน เมื่อนึกถึงปู่ก็อดนึกถึงย่าไม่ได้ เพราะฝังใจที่ย่าเคยขู่เขาที่ร้องงอแงในเวลากลางคืน ท่าทางของย่าที่ใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก ทำเสียงจุ๊ๆแล้วกระซิบข้างหูว่า อย่าเสียงดังเดี๋ยวแม่ตะเคียนได้ยินจะมาหักคอ เพียงแค่ก็ทำให้เขาก็เงียบสนิทไม่กล้าแม้จะสะอื้น นอกจากปู่ย่าตาทวดปลูกต้นตะเคียนไว้ในหัวของเขาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ก็ยังมีชาวบ้านช่วยดูแลเสริมแต่งจนทำให้เขาคิดว่า แม่ตะเคียนมีอยู่จริง  เมื่อโตขึ้นก็ใช้ตะเคียนต้นนี้เป็นที่บนบานสานกล่าวตลอดจนให้เจ้าแม่เป็นสักขีพยานในถ้อยสัญญา และยังบอกกล่าวเล่าสอนลูกเหมือนที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยทำ

                     เขาเหวี่ยงขวานอีกครั้ง เปิดเนื้อไม้ให้กว้างลึกกว่าเดิมเห็นสีน้ำแดงชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเห็นเนื้อไม้เขากลับรู้สึกว่าเขากำลังฆ่าคนไม่ใช่โค่นต้นไม้ เหมือนว่าเขากำลังฆ่าหมอที่เคยรักษาเขา กำลังฆ่าปู่ย่าตาทวดที่อบรมสั่งสอน กำลังทำลายล้างความรักความศรัทธาของคนร่วมแผ่นดินในหมู่บ้าน รวมถึงถ้อยคำสัญญาที่ซื่อสัตย์ของผู้คน

                     กุศโลบาย คำพูดและอรรถาธิบายของหลวงพ่อเมื่อวันวานหวนขึ้นมาอีกครั้ง และนี่คือกุศโลบายที่ได้ผลอย่างแยบคายนัก ทั้งๆที่เขารู้และเข้าใจตามที่หลวงพ่อพูดก็ยังอดอาลัยอาวรณ์ไว้ไม่ไหว คนที่เคยโค่นต้นไม้จนแทบหมดป่ากลับต้องกลั้นน้ำตาให้ต้นไม้เพียงต้นเดียวต้นนี้ได้อย่างไร จะเป็นดั่งองคุลีมาลไล่ฆ่าพระพุทธเจ้ากระนั้นหรือ การตัดตะเคียนต้นนี้ทำไมจึงยากลำบากใจกว่าตัดไม้ต้นอื่นๆ

                     ทั้งป่าช้าเงียบงัน เหมือนต้นไม้ทุกต้นเฝ้าดูเขาอยู่เงียบๆ ไม่มีเสียงหรือสัญญาณร้องขอชีวิตทั้งที่ต่างก็มีชีวิต และความเงียบนี่แหละที่ทำให้เขามีสติขึ้นมารวมถึงความรู้สึกที่เป็นตัวของตัวเอง

                     ถ้าเลื่อยยนต์ไม่ถูกยึด ตะเคียนต้นนี้คงจะโค่นตั้งแต่ก่อนเพล คงไม่เพ้อเจ้อเอ้อระเหยอย่างที่เป็นอยู่

                     งมงาย!!

                     เขาเตือนตัวเอง การชั่งใจแต่ละครั้ง ตาชั่งมักจะเอียงไปที่น้ำหนักของเงินเสมอ เมื่อเขานึกถึงน้ำหนักธนบัตรในซองสีน้ำตาลจึงเหวี่ยงขวานลงไปซ้ำรอยเดิม หนึ่ง...สอง... สาม.....

                     ที่หอฉัน หลวงพ่อพร้อมพระลูกวัดฉันอาหารเพลเสร็จ ทิดแก้วกับทิดขวดก็กลับมาพอดีหลวงพ่อนั่งพูดคุยและประชุมเพื่อวางแผนจะจัดการเรื่องประตูหน้าต่างและหุ่นเจ้าแม่ตะเคียนโดยมีกรรมการวัดห้าคนนั่งร่วมด้วย เสร็จจากนี้ก็ตั้งใจจะไปดูการตัดต้นตะเคียนของเขาพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นจากอาสนะ ก็ได้ยินเสียงหมาเห่าและหอน กับเสียงร้องของเขาดังมาแต่ไกล

                     “ช่วยด้วย  หลวงพ่อช่วยด้วย” ทุกคนหันไปทางบันไดแทบจะพร้อมกัน เขาหน้าตาแตกตื่นผมเผ้ายุ่งเหยิง เหงื่อท่วมตัวหน้าตามอมแมมเหมือนล้มลุกคลุกคลานมา เขาวิ่งขึ้นบันไดเหมือนหนีภัยสุดชีวิตเข้ามาเกาะแขนแอบหลังหลวงพ่ออย่างหวาดกลัวขวัญเสีย

                     “ช่วยด้วย แม่ตะเคียนกำลังตามผมมา  ผมไม่เอาแล้ว ผมกลัวแล้ว ฮือๆๆๆ” เสียงระล่ำละลักปนร้องไห้และเหนื่อยหอบ เนื้อตัวสั่นเทา คนทุกคน พระทุกรูปต่างตกตะลึงขนลุกซู่ในทันทีกับในสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด

                     ใครก็รู้ว่าอาชีพตัดไม้อย่างเขาไม่เคยเกรงกลัวผีสางนางไม้ที่ไหน แต่วันนี้กลับมีอาการเหมือนถูกผีหลอกมา เขามองไปที่บันไดเหมือนว่ามีเจ้าแม่ตะเคียนกำลังตามมา

                     “กลัวแล้ว ลูกกลัวแล้วแม่จ๋า” เขาร้องเสียงหลงเหมือนเด็กถูกแม่ไล่ตี ยกมือขึ้นพนมมือไหว้เบียดอยู่กับหลวงพ่อจนหลวงพ่อต้องใช้มือยันพื้นไว้ แล้วเขาก็เสือกตัวนอนคว่ำนิ่งอยู่สักพักก็พรวดพราดกระโดดขึ้นลงพร้อมกันสองเท้าจนพื้นหอฉันสะเทีอน หน้าตาเริ่มบิดเบี้ยวมองมาที่หลวงพ่ออย่างโกรธแค้น

                     “กูมาอยู่ก่อนพวกมึงเป็นร้อยปี ใครลองดีกับกู กูจะพาไปอยู่ด้วย” เสียงห้าวดุดันเกรี้ยวกราดผิดเพี้ยนไปจากเสียงของเขามาก ชี้นิ้วไปที่หลวงพ่อแล้วกราดไปที่ทุกคนช้าๆด้วยดวงตาแข็งกร้าวโกรธแค้น ทุกคนทุกรูปอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างเห็นชัด ทั้งพระทั้งคนยกมือขึ้นพนมไหว้โดยมิได้นัดหมาย เขาหันกลับมาที่หลวงพ่ออย่างรวดเร็วจนหลวงพ่อสะดุ้งตกใจรีบพนมมือไหว้ในทันทีกับเขาเหมือนกัน

                     “กู มา เตือน มึง” เสียงแหบแห้ง แต่ได้ยินชัดเจนทุกคน แล้วทันใดนั้นเขาก็ล้มคว่ำเสียงดังตึง

                     เขาฟื้นขึ้นมากินน้ำเหมือนคนกระหายจากนั้นก็อยู่ในอาการนิ่งเงียบเหมือนคนเสียสติ ไม่พูด ไม่ตอบอะไรใครทั้งสิ้น ส่วนหลวงพ่อก็เข้ากุฏิเก็บตัวเงียบ แต่กระนั้นเหตุการณ์นี้ก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วปากต่อปากโดยเริ่มจากกรรมการวัดและทิดแก้วทิดขวด

 

วันนี้

 

                     เช้าวันนี้ ทางการประกาศว่าฝุ่นพีเอ็มสองจุดห้าอยู่ในขีดอันตรายถึงกับย้ำขอความร่วมมือไม่ให้เผาขยะและนาไร่ อีกทั้งให้เดินทางโดยรถสาธารณะ และฝนอาจจะทิ้งช่วงเป็นฤดูแล้งที่ยาวนาน ดินฟ้าอากาศต่างมีผลกระทบถึงกันหมด เกิดวิปริตอาเพศส่วนหนึ่งก็เพราะมนุษย์คิดว่าตนเองฉลาดเอาเปรียบเอาประโยชน์

จากธรรมชาติได้ฝ่ายเดียวอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่าคนหนึ่งก่อแต่ทุกคนต้องรับกรรม

                     เขาเดินตัดทุ่งมาตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง มาถึงป่าช้าฟ้าก็เริ่มสีทองอ่อนๆ จึงจุดธูปคุกเข่าพนมมือที่ต้นตะเคียน ก็รู้ทันทีว่าเช้านี้เขาไม่ใช่คนแรกที่มาที่นี่ เพราะมีธูปที่ไหม้ไปแล้วครึ่งดอกปักอยู่ถัดออกไปก็สังเกตเห็นพวงมาลัยวางอยู่ใหม่ๆเพราะไม่มีฝุ่นเกาะ เป็นพวงมาลัยพลาสติกสีสันเหมือนกับที่หลวงพ่อจัดเก็บเมื่อวานซืนนั่นเอง

                     เขาปักธูปเสร็จ ก็เดินไปยังจุดที่เขาใช้ขวานฟัน  แล้วเอื้อมมือไปลูบแผลนั้นด้วยน้ำตาเอ่อเบ้า

                     “เมื่อลูกเป็นแผล แม่เคยรักษาให้ วันนี้แม่เป็นแผลบ้างคงต้องรักษาตัวเอง แต่แม่จะอยู่อย่างสงบสุขและมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกนับร้อยปี ลูกไม่ได้โกหกหลอกลวงใคร เพียงแต่ลูกใช้กุศโลบายด้วยเจตนาอันเป็นกุศลเท่านั้น”   


134