เริงเล่นไปกับหมาป่า โดย สิริพร เชษฐสุราษฎร์
เริงเล่นไปกับหมาป่า
พี่สาวกลายเป็นหมาป่า
ไม่ใช่คำเปรียบเปรย หรืออุปมาอะไรอย่างที่พี่สาวเคยพูด ฉันจะกลายเป็นหมาป่า เธอเคยพูดแบบนั้น แล้วหยิบชิ้นเนื้อไก่ดิบใส่เข้าปาก ฉันเบ้ปากแขยง มีแค่เธอที่กล้ากินอาหารที่ยังไม่ผ่านการปรุงสุก คล้ายเขี้ยวในปากจะโค้งยาวขึ้น พี่สาวกลายเป็นหมาป่า เธอกลายเป็นหมาป่าจริง ๆ พ่อเหมือนจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด หลังจากตื่นนอนขึ้นมา พ่อได้ยินเสียงขูดอะไรบางอย่าง เสียงเล็บเท้าตะกุยขูดบานประตูสลับเสียงครางแหลมเล็ก ไม่ใช่เสียงที่จะออกมาจากมนุษย์ พ่อไม่กล้าเปิดประตู แล้วยังทำกิจวัตรประจำวันอย่างปกติ ออกไปซื้ออาหาร นั่งกินมื้อเช้า เช็คข่าวสารผ่านโทรศัพท์ ผ่านไปจนช่วงสายที่ฉันตื่นนอน ได้ยินเสียงโหยหวนและเสียงขูดขีดนั่นแหละ ฉันถึงได้ตื่นขึ้นมา เสียงนั้นมาจากหลังบานประตูห้องของพี่สาว พ่อบอกว่าอย่าเพิ่งเปิด ให้ฉันไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อน ฉันทำตามที่ว่า จัดการกับกิจวัตรเรียบร้อยแล้วจึงยืนอยู่หน้าประตูห้องของพี่สาว สิ่งที่อยู่หลังประตูรับรู้ถึงตัวตนของฉัน มันยิ่งส่งเสียงร้อง โหยหอนตะกุยขูดบานประตูอย่างหนัก แล้วเมื่อฉันเปิดประตูออก สิ่งนั้นก็กระโจนออกมายืนอยู่กลางบ้าน หมาป่าสีขาวตัวใหญ่ มันสะบัดตัว แผงขนบริเวณคอบิดพลิ้วไปตามแรงสะบัด ภายในห้องนอนของพี่สาวว่างเปล่า ไม่มีเธออยู่ในนั้น มีเพียงกองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายตามพื้นห้อง
นักข่าวออนไลน์บอกว่ามนุษย์อาจถึงคราวต้องสูญพันธ์ เราถูกธรรมชาติเอาคืน เพียงในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ต้นไม้เติบใหญ่คืบคลานเข้ามาในเมือง โอบล้อมพวกเราไว้ไม่ต่างอะไรจากหนวดปีศาจของเลิฟคราฟ บ้านของเราก็เหมือนกัน ต้นไม้ที่พ่อปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ พวกมันยืดสูงขึ้นในเวลาไม่กี่คืน ต้นไม้บางต้นลำต้นอวบอ้วนขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน การเติบโตที่รวดเร็วทำให้ดินถึงกับปริแยก เถาไม้ต่าง ๆ เลื้อยไหล เกี่ยวพันกันเต็มจนดูราวกับป่า ทองกราวหน้าบ้านสูงจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง จากที่ตอนแรกต้นเพียงแค่อก กลิ่นลีลาวดีกับดอกแก้วอวลทั่วทั้งบริเวณบ้าน หนาแน่นหายใจแทบไม่ออก ดอกคูนเหลืองโรยร่วงเต็มทางเดินจากตัวบ้านไปรั้วหน้าบ้าน พี่สาวในร่างหมาป่าออกไปวิ่งทั่วบริเวณภายในเขตรั้วบ้าน ที่ขนาดสามไร่ดูเล็กลงทันทีที่เห็นเหล่าพืชพันธ์ยืดขยายเติบโตอย่างสมบูรณ์ ขนสีขาวถูกแดดส่องประกายวิบวับ ผลุบโผล่อยู่ตามมุมนั้นมุมนี้ของบ้าน พ่อบอกว่าอย่าเพิ่งให้พี่สาวหลุดออกไปจากบริเวณบ้าน เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง บ้านของเราตั้งอยู่เขตนอกเมืองเป็นเส้นทางสัญจรของรถขนของ รถที่เดินทางข้ามจังหวัด ปกติแทบจะตัดขาดผู้คนราวกับเป็นพื้นที่พิเศษที่ตั้งอยู่ในอีกมิติหนึ่ง พ่อขับรถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อซื้อของและดูสถานการณ์ ส่วนฉันนั่งเฝ้าดูพี่สาวและสำรวจสถานการณ์ของสังคมผ่านหน้าจอมือถือ นอกจากพี่สาวแล้วตอนนี้ผู้คนกลายเป็นสัตว์กัน ทั้งหมาป่า หมูป่า นก เสือ กวาง ช้าง สัตว์พวกนั้นเดินกันเกลื่อนทั่วทั้งเมือง พ่อถูกช้างเชือกหนึ่งนอนขวางถนนหน้าร้านอาหารประจำ ลูกสาวของเจ้าของร้านบอกว่านั่นคือพ่อของเธอ เจ้าของร้านนั่นเอง พ่อกลายเป็นช้างตอนช่วงเช้ามืด บ้านเธอพังเกือบครึ่ง แต่ดีว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ถึงจะเป็นช้างก็ยังเหลือสำนึกเก่าที่เป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ เขาจึงมาที่ร้านเหมือนเช่นตอนที่เป็นมนุษย์เพื่อช่วยรับแขก พ่อบอกว่าในเมืองก็มีสภาพไม่ต่างกับบ้านเรานัก เต็มไปด้วยพืชพันธ์ต่าง ๆ นานาที่เลื้อยไหล เติบโตเต็มไปหมด ถนนบางเส้นใช้สัญจรไม่ได้เพราะถูกรากขนาดใหญ่พาดทับ
บ้านเราถูกซ่อนอยู่หลังป่าที่รกครึ้ม ส่วนตัวบ้านถูกเถาหิรัญญิการ์กลืน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ต้นหิรัญญิการ์เริ่มแตกหน่อแล้วแผ่กิ่งก้านเลื้อยไปตามผนังบ้าน เรามัวแต่สนใจวิธีที่ทำให้พี่สาวคงอยู่ในร่างคนนาน ๆ นอกจากพี่แล้วก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถกลายร่างกลับคืนมาเป็นคนได้ เราจึงไม่ได้สังเกตเห็นกิ่งก้านที่ค่อย ๆ ยึดครองบ้านของเราไป รู้ตัวอีกทีบ้านของเราก็เต็มไปด้วยดอกสีขาวแข็งทื่อที่บานสะพรั่งเต็มไปทั่วทั้งตัวบ้าน “ดอกไม้บ้าอะไรยังกับของปลอม” พี่สาวเคยพูดแบบนั้น เพราะมันสมบูรณ์แบบเกินไป ของที่สมบูรณ์มักจะเป็นของถูกสร้างขึ้นมาจากโรงงาน แต่ดอกไม้ก็ถือว่าเป็นผลงานของธรรมชาติ ฝีมือของธรรมชาติน่าจะเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ว่าทำไมมันถึงได้สวยสมบูรณ์แบบ
สัตว์ออกมาเดินขบวนทั่วทั้งเมือง ไม่รู้ว่าเพราะความตื่นตระหนกหรือเพราะพวกเขาขาดสำนึกความเป็นมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง มองไปทางถนนหน้าบ้านเห็นสัตว์วิ่งสวนกันไปมายังกับขบวนพาเหรด ดูแทบไม่ออกว่าเป็นชนิดไหนบ้าง แต่หลัก ๆ แล้วมีเก้ง กวาง สุนัข สัตว์สี่ขาที่วิ่งได้เร็ว มีพวกสัตว์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยอย่างกระทิง แรด วัว บนท้องถนนจึงเต็มไปด้วยเสียงที่รวมเอาทุกสรรพเสียงไว้ด้วยกันทั้งสิ่งมีชีวิตและเสียงแตรรถที่บีบอย่างกระหน่ำอย่างรุนแรง
พี่สาวที่กลายเป็นหมาป่าหอนโหยหวนในยามค่ำคืนจนฉันกับพ่อไม่เป็นอันหลับอันนอน คืนแรก ๆ พ่อก็แค่ดุเธอ พอการเห่าหอนดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าจะจบสิ้นพ่อเริ่มโยนรองแตะใส่เธอ พี่สาวโจนหลบอย่างง่ายดาย ส่ายหางและหมอบตัวต่ำคิดว่าพ่อกำลังจะเล่นด้วย หรือไม่ก็คงเป็นการเยาะเย้ย ฉันบอกพ่อว่าจะเอาสำนึกแบบมนุษย์มาใช้กับพี่ในร่างหมาป่าไม่ได้หรอก ฉันเล่นโยนรองเท้าแตะกับเธอ โยนรองเท้าให้เธอวิ่งไปคาบแล้วเอากลับมาให้ฉันโยนใหม่ ทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมากระทั่งฉันเผลอหลับบนบันไดทางเข้าหน้าบ้าน รู้สึกตัวอีกทีพ่อเขย่าตัวปลุกตอนช่วงเช้า ข้าง ๆ พี่สาวหมอบนอนอยู่ใกล้ ๆ ส่วนรองเท้าแตะข้างนั้นไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
ช้างพลายหนึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ นักข่าวจำนวนหนึ่งตามติดการเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวโดยไม่เกรงกลัว ภาพจากกล้องถูกถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นช้างพลายที่สูงและตัวใหญ่กว่าช้างทั่วไป สูงประมาณตึกสามชั้นได้ ไม่มีใครแน่ใจว่าเขามาจากไหน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ธรรมชาติขยายตัว ช้างพลายนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา เดินท่องไปตามพื้นที่ต่าง ๆ งายาวโค้งเรี่ยพื้น หูใบใหญ่โบกพัดตามจังหวะก้าวเดิน งวงยาวเก็บงุ้มเบา ๆ ไว้ระหว่างขาหน้า ทั่วทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยมอส พืชพันธ์เล็ก รังของพวกนกและสัตว์ป่าขนาดเล็ก ราวกับพวกมันอาศัยพึ่งพาสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นี้ พวกมันปีนป่ายไปตามตัวเขา บ้างก็บินวนเวียนไปรอบ ๆ จากงากระโดดขึ้นไปบนศีรษะ วิ่งไปตามแนวสันหลังโค้งมน ทุกครั้งที่เขาก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้นจะปรากฏพืชพันธ์รองรับฝ่าเท้าขนาดใหญ่นั้นไว้ มีคอมเมนต์หลายคนว่า ได้ยินเสียงของเขาพูด มีคนแย้งว่าช้างจะพูดได้อย่างไร ก็ไม่รู้หรอก แต่ได้ยินเสียงหนึ่งอยู่ในหัว มันเกิดขึ้นตอนที่ช้างพลายนี้เดินผ่านเข้ามาในบริเวณที่อยู่อาศัย แม้ความสูงใหญ่จะทำให้ผู้คนหวั่นวิตก แต่เขาไม่เคยทำลายอะไร เพียงแค่เดินผ่านแล้วจากไปไม่ต่างจากช้างเลี้ยงที่เห็นตามถนนเพียงแค่เขาไม่มีควาญคอยกำกับ บางคนบอกว่ามีควาญคนหนึ่งนอนอยู่บนคอช้าง แต่เพราะช้างตัวใหญ่มากก็เลยไม่ค่อยมีใครเห็นเขา คอมเมนต์หนึ่งแย้งขึ้นมาอีกว่าถ้าไม่มีภาพให้เห็นชัด ๆ มันก็แค่เรื่องแต่ง ใครจะอยู่บนนั้นได้นอกจากพวกสัตว์
ภาครัฐออกมาตราการฉุกเฉินให้มนุษย์ที่ยังคงเดิมดูแลเหล่าสัตว์ที่เคยเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อไม่ให้พวกสัตว์ออกมาเดินเร่ร่อนขว้างการจราจรบนท้องถนน ในส่วนต่างจังหวัดไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนที่พวกสัตว์ออกมาเดินท่องไปตามเมืองเท่ากับที่เมืองหลวง ที่นั่นโกลาหลใหญ่เพราะจำนวนประชากรที่ใช้ชีวิตกระจุกตัวอยู่ที่พื้นที่เล็ก ๆ นั่น ภาพที่เห็นผ่านจอมือถือดูราวกับว่าที่นั่นกลายเป็นดินแดนของสัตว์ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งงูเหลือมที่นอนพาดอยู่บนสะพานลอย นกแก้ว สัตว์ปีกที่จับกลุ่มอยู่ในห้างสรรพสินค้า บินร่อนไปมา แมว สุนัข เก้ง กวางที่เดินอยู่ตามคิวรถ กระทิง วัว ตัวกินมด ที่นอนบังเส้นทางจราจรในซอยขนาดเล็ก บนรางรถไฟฟ้าเต็มไปด้วยลิงและนกเอี้ยง ยังไม่นับต้นไม้ดอกไม้ที่เติบโตอย่างผิดที่ผิดทางดูราวกับภาพช่วงก่อนวันสิ้นโลกในเกม อาคารบ้านเรือน ถนน เต็มไปด้วยต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขายืดยาวเต็มไปหมด พวกตำรวจ สัตวแพทย์ กู้ภัยและทหารที่ยังคงเป็นมนุษย์ต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อให้คนที่เหลือดำเนินชีวิตไปได้ตามปกติ สังคมยังคงต้องมีคนที่ทำงานและหาทางออกของปัญหา ทางต่างจังหวัดไม่ค่อยเดือดร้อนกับการมีสมาชิกในบ้านกลายร่างเป็นสัตว์นัก โดยเฉพาะพวกคนที่มีที่นา พื้นที่ไร่พื้นที่สวน พวกเขาปล่อยให้สัตว์เดินเล่นไปตามที่ต้องการ แค่คอยดูแลควบคุมไม่ให้พวกนั้นกินผลผลิตทางการเกษตรจนหมดก็พอ
พี่สาวเริ่มแสดงความเป็นสัตว์ป่า เธอทำตามสัญชาตญาณและอารมณ์ที่ควบคุมการตัดสินใจ หลักการและความเป็นเหตุผลถูกลบออกไปจากสามัญสำนึก เธอตระเวนสำรวจไปทั่วบริเวณไม่ไกลจากบ้าน ขย้ำพวกหมาจรจัดตายเกลื่อน เพราะเธอเกลียดหมา แต่เธอเป็นหมาป่านี่นา ไม่ได้มีความรู้สึกเห็นใจสายพันธ์ที่ใกล้เคียงหรืออย่างไรนะ ไม่เลย เธอขย้ำพวกมันตายด้วยเขี้ยวยาว ไม่มีใครกล้ายุ่ง ในซอกหลืบความทรงจำ เธออาจจะจำความเจ็บปวดที่เห็นแมวที่เธอรักถูกขย้ำตายต่อหน้า เคยมีเรื่องนั้นเกิดขึ้นด้วย คล้ายจะจำได้เลือนราง เพราะมันก็เจ็บปวดสำหรับฉันเหมือนกัน ฉันจึงพยายามยัดความทรงจำในไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุด
พวกหมาจรมักเข้ามาป้วนเปี้ยนในบ้าน คืนหนึ่งมีเสียงดังลั่น เสียงแมวถูกขย้ำ พี่สาวที่อยู่ในผ้าเช็ดตัววิ่งออกมาจากห้องน้ำ เท้าเปล่า เธอกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นแมวถูกกระชากลอยคว้างไปมา พ่อตามออกมาเห็นพี่นั่งเปลือยเปล่าร้องไห้อยู่หน้าบ้าน เท้าเปื้อนดิน ฉันพยายามมองหาผ้าเช็ดตัวท่ามกลางความมืด เพราะบ้านเราอยู่นอกเขตเมือง ไม่มีใครได้เห็นนาฏกรรมในครั้งนั้นนอกจากพวกเรา และไม่อยากพูดถึงมันอีก นั่นคือไม่กี่ครั้งที่ฉันได้เห็นด้านที่น่าเวทนาของพี่สาว เราอายุห่างกันเกือบสองปี ไม่มากนักแต่ฉันยังคงให้ความเคารพเธอที่ใช้ชีวิตก่อนหน้าฉันเกือบสองปี เธออยากฆ่าพวกมัน ถ้ามีปืนเธอคงยิงอย่างไม่ลังเล การวางยาเบื่อมีแต่พวกขี้ขลาดเท่านั้นที่ทำ การฆ่าให้ตายสิ้นมันต้องลงมือเอง ด้วยมือและเรี่ยวแรงของตนเอง ไม่นานรอบเขตบ้านระยะสองกิโลเมตรแทบไม่พบเห็นหมาสักตัว ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นทำได้เพียงล่ามหมาของตัวเองไว้ในบ้านถ้าไม่อยากเห็นพวกมันถูกพี่สาวขย้ำตาย ส่วนที่ถูกเธอจัดการ พวกเขาช่วยกันลากซากพวกนั้นมากองรวมกันไว้ที่เดียวแล้วจุดไฟเผา เพราะถ้าจะขุดหลุมฝังคงต้องจ้างรถตักดินมาขุด ผู้ใหญ่บ้านได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองระหว่างที่กล่าวตักเตือนเสียงเบา เห็นใบหน้าแสยะยิ้มของพี่สาวแล้วก็ได้แต่พยายามสะกดกลั้นความกลัว
กลางคืนหลังจากที่ออกไปตระเวนวิ่งเล่นรอบ พี่สาวเดินกลับมาที่บ้านเนื้อตัวเปลือยเปล่า ย่างก้าวเชื่องช้าอย่างกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า ที่ปากเลอะคราบเลือดเปื้อนไหลลากยาวจากริมฝีปากลงมาลำคอมาจนถึงหน้าท้อง แต่ไม่มีใครกล้ามอง จะมนุษย์หรือสัตว์ก็ไม่กล้าเฉียดใกล้ เธอหัวเราะคิกคักตอนที่ฉันวิ่งเอาผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้ หัวเราะเหมือนเพิ่งได้ฟังเรื่องตลกมา เธอหวงอาณาเขตมาก บริเวณบ้านของเราไม่มีพวกหมาจรมาป้วนเปี้ยนเลย เพราะส่วนมากก็ตายหมดจากการล่าสังหาร แต่เธออนุญาตสัตว์ชนิดอื่นให้เข้าใกล้เขตบ้านได้ ถึงแม้ตอนแรกพวกแมวที่เราเลี้ยงจะกลัวเธอ แต่ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์พวกมันก็เคยชินกับหมาป่าถึงขนาดมานอนกองด้วยกันที่มุมหนึ่งของครัว วิ่งไล่จับกันในป่า
“ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อเรารักกัน” พี่สาวหัวเราะ หัวเราะจนตัวงอกลิ้งไปมา “ถุย พวกผู้ชายที่ชอบพูดอะไรทำนองนั้น มักจะมองเห็นโลกเพียงสีเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ต่างจากพวกหมาที่มองเห็นโลกเพียงแค่สีเทา แล้วเข้าใจว่าตัวเองมองเห็นโลกอย่างชัดเจน ดอกไม้มันบานต่อเมื่อมนุษย์ตายต่างหาก ตายแล้วกลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ นั่นสิถึงจะทำให้ดอกไม้บาน” พี่พูดยังกับว่าตัวเองไม่ได้อยู่ฝั่งมนุษย์ การกลายร่างไม่ได้ทำให้นิสัยของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่มันไปขับเน้นในส่วนที่ทำตามอารมณ์มากกว่าเหตุผลทวียิ่งกว่าเดิม พี่สาวชอบขดตัวนอนอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าพื้นที่ระหว่างรั้วหน้าบ้านกับตัวบ้าน ทั้งที่อยู่ในร่างมนุษย์กลับไม่นอนอยู่ในห้องนอนตัวเองเหมือนอย่างเคย ทุกเช้าฉันจะเห็นภาพของเธอขดตัวนอนหนุนรากต้นไม้เนื้อตัวสกปรกเต็มไปด้วยดิน ขนาดตัวของเธอใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน จากเดิมที่ร่างหมาป่าของเธออยู่ในขนาดที่แทบไม่ต่างจากหมาป่าทั่วไป ตอนนี้เธอสูงใหญ่จนเกือบจะท่วมหัวฉันกับพ่อ เหมือนว่าสัตว์กลายร่างหลายตัวก็เริ่มพากันตัวใหญ่ขึ้น แต่มีแค่พี่นี่แหละที่สูงใหญ่ขึ้นจนเห็นได้อย่างชัดเจน
พอป่าเริ่มกลืนกินเมืองเข้าไปมากขึ้น ระบบต่าง ๆ เริ่มมีปัญหาตามหา ไม่ใช่การจราจร ไฟฟ้า น้ำประปาเริ่มมีปัญหา ได้ข่าวจากอินเตอร์เน็ตว่าจะมีการกำหนดเวลาเปิดปิดน้ำ ฉันว่าการกำหนดยิ่งทำให้มันแย่ลงกว่าเดิม ถ้าหากวันหนึ่งมนุษย์กลายเป็นสัตว์กันหมดใครจะมาทำหน้าที่ควบคุมการเปิดปิดของน้ำประปากัน พ่อเริ่มซื้อเทียนกลับมาจำนวนมาก เรื่องไม่ได้เปิดแอร์ไม่เป็นปัญหาเท่าเรื่องที่ตู้เย็นทำงานไม่ได้ เรายังต้องการที่ที่สามารถช่วยยืดเวลาเน่าเสียของอาหาร อาหารเริ่มหายากขึ้น “ปลูกผักสิ” พี่สาวกล่าว “บ้าไปแล้ว” ฉันกล่าว แต่พ่อเหมือนจะเห็นด้วย “เราจะหวังพึ่งของในตลาอดอย่างเดียวไม่ได้นะ ขนาดในตลาดของก็ไม่ค่อยจะมี คนแย่งกันเร็วมาก” พอพ่อพูดแบบนั้นฉันก็ต้องเห็นด้วย โชคยังดีสัญญาณโทรศัพท์กับอินเตอร์ยังคงเชื่อมต่อเรากับข่าวสาร ตราบใดที่มือถือยังไม่แบตหมดก็ติดต่อกับโลกได้
เราเริ่มทำสวนผักกัน ต้องบอกว่าฉันเริ่มทำสวนผัก เพราะพี่ไม่ทำอะไรนอกจากเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ทั้งการพลิกหน้าดิน หยอดเมล็ด ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พ่อพยายามมาช่วยแต่ก็ปวดหลังเกินกว่าจะทำได้นาน ๆ ฉันเองก็ไม่แข็งแรงพอจะทำงานหนักได้เป็นระยะเวลานาน ร่างกายของฉันเคยชินกับการทำงานนั่งเก้าอี้ แต่ตอนนี้สถานการณ์บังคับให้เราต้องทำอะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีอาหารสำรอง แล้วเราจะอดตาย ต้องขอบคุณที่พี่สาวบ้าซื้อของ เราถึงได้มีเมล็ดพันธุ์พืชพักเยอะพอจะปลูกเป็นบริเวณกว้าง ถึงจะอยู่ในร่างคน พี่ก็ชอบเกลือกกลิ้งบนพื้นดินทำให้เสื้อที่สวมสกปรก ฉันบอกให้เธอหาส่วนท่อนล่างมาสวมใส่ปกปิดไว้บ้าง แต่เธอไม่สนใจ ลงนอนเกลือกกับดินจนเสื้อหลุดออกมาจากตัว ร่างเปลือยของเธอเปรอะเปื้อนดินดูไม่ต่างจากพวกสัตว์ เธอส่งยิ้มแยกเขี้ยวมาให้ฉัน เวลาที่ฉันรดน้ำสวนผัก เธอจะนั่งหมอบอยู่ข้าง ๆ ไม่ก็นอนเอาหูแนบพื้น “ฟังเสียงของดิน” เธอว่าอย่างนั้น ฉันถามต่อว่ามันเป็นเสียงแบบไหนถึงใจจริงจะไม่ได้ใส่ใจคำตอบนักก็ตาม “ดินมันมีเสียง จะอธิบายเป็นคำพูดยังไงดีล่ะ ก็เหมือนกับต้นไม้นั่นแหละ ในต้นไม้จะมีเสียงที่คล้าย ๆ น้ำไหล ส่วนในดินจะมีเสียงเหมือนกับสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนไหว” “หมายถึงว่าสิ่งมีชีวิตในดินเหรอ?” “ไม่ใช่ เสียงเหมือนดินเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วเคลื่อนไหวต่างหาก” มันก็ต้องเคลื่อนไหวสิ เพราะโลกหมุนรอบตัวเอง “ฉันได้ยินเสียงดอกไม้กระซิบกันด้วยกัน” เธอพูดอวด ๆ ฉันไม่ได้อยากรู้กับเธอหรอกว่าพวกมันพูดว่าอะไร ที่เจ้าชายน้อยว่าพวกดอกไม้ขี้นินทาคงจะเป็นเรื่องจริง “ตอนที่ได้ยินเสียงดินครั้งแรกฉันร้องไห้เฉยเลย ฉันไม่เคยได้ยินเสียงอะไรแบบนี้มาก่อน แบบว่ามันทำให้รู้สึกสงบอย่างประหลาด เหมือนในอกฉันวูบลงแล้วสงัด สงัดจนไม่ได้เสียงอะไรเลย นั่นเป็นความสงบแบบที่พ่อเคยพูดถึงหรือเปล่านะ” “ไม่รู้สิ ก็ลองไปถามดู” ฉันแกล้งรดน้ำไปโดนตัวเธอ ตั้งใจว่าจะล้างคราบดินออก เธอกระโดดหลบแล้ววิ่งไปเล่นกับแมว
วันหนึ่งอดีตคนรักของพี่มาเยือนบ้านเรา ไม่รู้ว่าฉันนิยามแบบนั้นถูกหรือเปล่า ฉันรู้แค่ว่าพี่สาวเคยปฏิสัมพันธ์กับคนคนนั้น และเธอไม่ได้เป็นเด็กสาววัยรุ่นที่จบลงแค่การพูดคุยแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน ทำไมฉันจะไม่รู้ มองมาจากดาวอังคารก็รู้แล้วว่าพวกเขาต้องเคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันมาก่อน เขาปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ได้มีสัญญาณแจ้งล่วงหน้า เช้าวันหนึ่งพ่อเปิดประตูบ้านออกมาพบกับชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากพี่สาวที่นอนหลับสนิทใต้ต้นไม้ เธอหลับลึกในร่างมนุษย์ขดตัวเป็นวง บนร่างมีผ้าห่มผืนหนึ่งน่าจะเป็นของเขา ชายคนนั้นยิ้มแย้มทักทายพ่อ พอฉันตื่นขึ้นมาเห็นเขานั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวที่ห้องครัว ฉันก็จำเขาได้ถึงแม้ใบหน้าจะถูกปกคลุมด้วยหนวดเคราและผมยาวที่กระเซิงอย่างอิสระ เหมือนพ่อจะจำเขาได้เช่นกัน พี่สาวในร่างหมาป่าขดตัวอยู่ที่มุมห้องครัวท่ามกลางกลุ่มแมวอย่างเงียบเชียบ ตายังคงจับจ้องการกระทำของเขาทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวแม้เพียงน้อยนิด ฉันจำได้ว่าก่อนหน้าเขาดูสะอาดสะอ้านมากกว่านี้ ใบหน้าเกลี้ยง ผมสั้น เขามักจะแวะมาหาเธอเมื่อเว้นว่างจากงาน พี่ดูมีความสุขแต่ขณะเดียวกันก็ดูงุ่นง่าน เพราะถือสันโดษมาอย่างยาวนาน พี่สาวรักความสันโดษมากกว่าการรักใครสักคน การเข้ามาของเขาเหมือนการพยายามเข้ามารุกรานโลกภายในของเธอ โลกที่เธอเว้นไว้ให้เพียงไม่กี่คน พ่อและฉัน โลกใบเล็กของพวกเรา พี่สาวรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เธอรักและหวงแหนมากที่สุดคืออาณาจักรขนาดเล็กโลกภายในของเธอ “คนแปลกหน้ายังไงก็แค่คนแปลกหน้า” เธอพึมพำกับตัวเองขณะที่ทอดกายบนโซฟาข้าง ๆ ฉันที่กำลังทำงานในหน้าจอไอแพด วันหนึ่งพี่สาวก็ไม่พูดถึงเขาอีกเลย สิ้นสุดเส้นทางที่คู่ขนานกัน
ฉันเกลียดเขา คงเพราะส่วนหนึ่งในใจลึก ๆ ของฉันกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้พี่สาวกลายเป็นหมาป่า เหมือนเวลาที่เราต้องการกล่าวโทษบางสิ่งกับความผิดพลาดที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ ถ้าพี่ไม่เจ็บปวดเพราะความสัมพันธ์เธออาจไม่กลายเป็นหมาป่า แต่ความจริงเราไม่รู้ว่าเพราะอะไรผู้คนรวมถึงพี่สาวถึงได้กลายเป็นสัตว์ เป็นสงครามไวรัสตัวใหม่อย่างที่ใครสักคนว่าไว้ในโลกออนไลน์ หรือเป็นเพราะธรรมชาติกำลังเอาคืนเราจริง ๆ พี่สาวไม่เคยกลับเป็นมนุษย์เลยเมื่อผู้ชายคนนั้นมาที่บ้านเรา ราวกับว่าเธอกำลังลับเขี้ยวรอขย้ำมือข้างหนึ่งของเขา เธอไม่ยอมให้เขาแตะต้องขนเธอเลย หากรับรู้ว่าเขาอยู่ใกล้บริเวณเธอจะเริ่มส่งเสียงขู่ในลำคอ แยกเขี้ยวขึ้น พอฉันรั้งคอเธอไว้ เธอจะครางเสียงเล็กแหลมเหมือนลูกหมาแล้วเลียมือฉัน ชายแปลกหน้าความอดทนสูงจนน่าหงุดหงิด เขาขอนอนบริเวณป่ากลางบ้าน โดยที่มีเต็นต์นอนกางไว้ใต้ต้นไม้กับเครื่องนอนเล็กน้อย พี่สาวในร่างหมาป่าจะนอนห่างจากจุดที่เขาตั้งเต็นต์ไกล ดูจะหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นชายแปลกหน้าวนเวียนอยู่รอบ ๆ บ้านเรา ฉันเองก็ไม่ต่างกัน ที่อยากให้เขารีบจากไป ฉันไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามายุ่มย่ามในบริเวณบ้านอีกทั้งไม่อยากเห็นพี่สาวทำตัวระแวดระวังอยู่เกือบตลอดเวลา ฉันยอมรับว่าเขาช่วยเราทุ่นแรงในการทำสวนผักมาก รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ต้องการกำลังของผู้ชายช่วย พ่ออายุมากแล้วจะหวังพึ่งมากไม่ได้ ส่วนพี่สาวตัดออกไปจากตัวเลือก เพราะเธอไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะช่วยอะไรได้ แม้เขาจะทำตัวเป็นประโยชน์ แต่ฉันก็อยากให้เขารีบจากไปสักที
“คุณต่างจากพี่สาวนะ” “เหรอ” “พี่คุณปลูกอะไรก็ไม่ค่อยขึ้นหรอก” ฉันไม่ตอบกลับ นึกถึงตอนที่พี่มักทำต้นไม้ตายเพราะเรื่องง่าย ๆ อย่างการรดน้ำต้นไม้ ฉันไม่เคยต้องทำเพราะหน้าที่นั้นเป็นของเธอ ก่อนหน้าที่เธอจะกลายเป็นหมาป่า ตอนนี้พอฉันตื่นนอนขึ้นมาก็พบว่าแปลงผักของฉันรดน้ำไปแล้วเรียบร้อย ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนรดน้ำ และไม่ได้ใส่ใจถึงขนาดที่ต้องตั้งคำถาม อาจจะเป็นพ่อที่กลัวผักจะตายยกแปลง อาจจะเป็นพี่สาว หรืออาจจะเป็นชายแปลกหน้า ฉันเด็ดเอามะเขือเทศราชินีให้พี่สาว เธอชอบมะเขือเทศมาก หมายถึงตอนที่อยู่ในร่างคน แต่ตอนที่เป็นหมาป่าฉันไม่แน่ใจ เธอสูดดมกลิ่นอยู่ชั่วขณะ เลียครั้งหนึ่งก่อนจะรับเอามะเขือเทศเข้าไปในเคี้ยวในปาก ฟันของเธอไม่เหมาะกับการบดอาหาร มันเหมาะกับการฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นมากกว่า “ห้ามคายออกมานะ กว่าจะปลูกขึ้น” เธอทำตามอย่างว่าง่าย พอกลืนลงคอก็แลบลิ้นเลียปาก ชายแปลกหน้ามองฉันกับพี่สาวแล้วก็แย้มยิ้มใต้หนวดเคราเงียบงัน
แต่มนุษย์ก็ยังคงมีขีดกำจัด ไม่ว่าจะใจเย็นมากแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความต้องการ มือที่ยื่นออกไปนั้นไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แวบเดียวกระจุยหายไปจากแขน พี่สาวขย้ำมือข้างหนึ่งของเขาขาดกระเด็นไปอีกทาง เธอทำท่าจะกระโจนเข้าไปขย้ำคอถ้าหากพ่อไม่ขว้างไว้ก่อน คมเขี้ยวห่างจากใบหน้าของพ่อไม่กี่เซนติเมตร เห็นลมหายใจหนักที่เป่าพ่นโดนผิวหน้า ชายคนนั้นกำรอบบริเวณที่มือขาดเพื่อให้เลือดไหลช้าลง เขานอนขดตัวด้วยความเจ็บปวด พ่อบอกว่าจะพาเขาไปที่โรงพยาบาล พร้อมหยิบมือที่ขาดออกจากแขนข้างนั้นขึ้นมาแม้จะยังสั่นด้วยความตื่นตระหนก ฉันไม่เคยเห็นพ่อหวาดหวั่นขนาดนี้มาก่อน พี่สาวที่กลายร่างกลับเป็นคนเลือดอาบเต็มคาง เธอถ่มเลือดในปากลงพื้น มองลงไปที่ชายคนนั้นไม่ต่างจากการมองดูไส้เดือนที่ถูกมดรุมกัด ไม่มีความรู้สึกใดในดวงตา โกรธ เกลียด เวทนา เพียงแค่มองชายคนนั้นนอนขดตัวบีบบาดแผลด้วยความเจ็บปวด ฉันช่วยพ่อพาเขาขึ้นรถแล้วเอาผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เขากดบาดแผลไว้ “ถ้าไม่อยากตายก็อย่ากลับมาอีก” ฉันบอกเขา จงใจให้พ่อได้ยินด้วย เพื่อเป็นการบอกทางอ้อมว่าทิ้งเขาไว้ที่โรงพยาบาลเลย พี่สาวขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้เงียบเชียบในร่างคน ฉันคิดว่าเธอจะร้องไห้ แต่เธอเพียงแค่นอนจ้องมองไปข้างหน้า ตาเขม่งค้างเหมือนตุ๊กตา ฉันห่มผ้าให้แล้วอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งเธอหลับ หลังจากนั้นสองวันพ่อไปเยี่ยมดูอาการชายแปลกหน้าที่โรงพยาบาล พยาบาลอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนเล่าว่าชายคนนั้นกลายร่างเป็นควายไบซัน เดินโขยกเขยกออกจากโรงพยาบาลไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน เป็นเรื่องปกติที่คนไข้กลายเป็นสัตว์ระหว่างพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่มีใครไปตามพวกเขากลับมานอนที่เตียง หมอกับพยาบาลปล่อยให้คนไข้ทำตามใจตัวเอง ลำพังแค่คนไข้มนุษย์ก็เยอะแยะมากมายจนจัดการแทบไม่ไหวอยู่แล้ว ยิ่งโดยในสถานการณ์ที่ป่ากำลังชอนไชบุกเข้ามาทำลายตึกอาคารที่เก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ “ให้เขาตายอยู่โรงพยาบาลยังดีกว่าซะอีก” พี่สาวนิ่วหน้า “เขาแค่อยากแก้ไขความผิดพลาด สุดท้ายแล้วก็คิดถึงแต่ตัวเองนั่นแหละ ไม่ได้สมควรถูกจดจำขนาดนั้น” พ่อไม่พูดอะไร แต่ฉันรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่กดทับไหล่ของพ่อตกลง
พ่อตัดสินใจว่าถ้าพี่สาวอยากไปอยู่ในป่าพวกเราควรปล่อยเธอไป ฉันไม่เห็นด้วย ลึก ๆ แล้วฉันหวังว่าพี่จะกลับคืนมา วันหนึ่งเธออาจจะกลับมาเป็นมนุษย์สมบูรณ์อีกครั้งก็ได้ พ่อเงียบ “พี่เขาไม่อยากกลับมาหรอก” ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อคิดแบบนั้น ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ การเกิดเป็นมนุษย์มันยากเย็น มันหนักหนามากไม่ใช่เหรอ ทำไมพี่สาวถึงได้อยากกลายเป็นสัตว์ป่า เท่ากับว่าเธอต้องการถอยหลังจากความเป็นมนุษย์สู่ความเป็นสัตว์ มีเพียงสัญชาตญาณชี้นำชีวิต ไร้ศีลธรรม ไร้มโนธรรม พ่อคงเห็นจากตอนที่เขี้ยวของเธอขย้ำมือชายคนนั้นขาด และความเฉยชาต่อการกระทำของตนเอง พ่อตัดใจไปแล้วว่าพี่จะกลับมา ดอกหิรัญญิการ์ยังคงเบ่งบานอย่างงดงามแม้ว่ามีการหลั่งเลือด ฉันยืนมองดอกสีขาวที่ขึ้นเต็มหลังคาบ้านแล้วฉันก็ร้องไห้ เหมือนกับว่าเรายังคงสูญเสียไม่มากพอ ช่องว่างภายในอกฉันขยายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมันกำลังสูบเลือดเนื้อของฉันเองเข้าไป หลุมดำที่กลืนกินกระทั่งตัวเอง แต่ฉันยังไม่อยากยอมแพ้เรื่องพี่สาว
การทำสวนผักช่วยทำให้ฉันรู้สึกถึงสงบ ความสงบอันราบเรียบเป็นเส้นตรง ยิ่งเห็นพวกผักเติบโตฉันยิ่งเกิดความรู้สึกอยากปกป้องพวกมัน ฉันตื่นแต่เช้ามารดน้ำสวนผัก ผักกาดขาว กะหล่ำปลี มะเขือเทศส่องประกายวาวเมื่อมีหยดน้ำเกาะพราวระยับ ส่วนพ่อก็ติดตามข่าวสารในโลกออนไลน์เป็นกิจวัตร พี่สาวนอนขดอยู่ใต้ต้นไม้ บางวันก็นอนหน้าครัวกับพวกแมว เธอตัวใหญ่เกินกว่าจะเข้าไปในนอนในครัวได้แล้ว ใหญ่เกินไป ฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งเธออาจจะทับพวกแมวตาย แต่ฉันไม่ชอบให้เธอนอนนอกบ้านในร่างมนุษย์ และเธอก็ไม่อยากนอนในบ้าน เธอว่ามันอุดอู้ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ต่างอะไรจากกรงสวนสัตว์ หน้าหนาวกำลังจะจากไป ขนาดตัวและขนของเธอคงจะทำให้อึดอัดน่าดูช่วงฤดูร้อน ฉันเอาหวีสางขนให้เธอ ขนสีขาวของหมาป่าช่างสวยงามถึงสัมผัสจะไม่ได้นุ่มลื่น มีความกระด้างในเส้นขน หมาป่าต่างจากแมว ต่างจากหมา ขนแบบนี้คือขนของสัตว์ที่อยู่ในป่า พอนึกถึงเรื่องที่พ่อยอมให้พี่ไปอยู่ในป่าฉันก็เศร้า พยายามจดจ่อไปที่การสางขนให้กับเธอ ถ้าเธอไปอยู่ในป่า ขนของเธอจะกลายเป็นสีน้ำตาลจากดินทรายที่เกลือกกลิ้ง เธอจะนอนตรงไหนในป่าก็ย่อมได้ เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ ป่าไม่เคยเงียบงัน เต็มไปด้วยสรรพเสียงของสัตว์กลางคืน แมลง สายลมที่เสียดกิ่งไม้ ดวงดาวจะเปล่งประกายยิ่งกว่าในเมืองของมนุษย์ แสงจันทร์จะส่องต้องขนของเธอเป็นประกายวิบวับ เธอจะวิ่งไปทั่วทั้งป่าด้วยขาทั้งสี่เต็มกำลัง พอจินตนาการเห็นภาพพวกนั้นอย่างชัดเจนฉันยิ่งอยากร้องไห้
ในเช้าวันที่อากาศร้อนจนเหงื่อฉันไหลหยดย้อยลงข้างแก้ม ระหว่างนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันสามคน พ่อก็เล่าเรื่องกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ พวกมนุษย์ต้องการทำลายช้างพลายนั้น ช้างที่ก้าวย่างเดินไปทั่วทั้งเมือง เหมือนอาณาจักรโบราณเคลื่อนที่ พวกเขาคิดว่าต้นตอทั้งหมดเกิดจากเขา ทั้งการกลายร่างของมนุษย์ การรุกรานและเติบโตของธรรมชาติ เหมือนกองทัพต้องมีแม่ทัพ มีคนคอยบัญชาการอยู่เบื้องหลัง พี่สาวหัวเราะ “มนุษย์ก็คิดได้แบบมนุษย์นั่นแหละ” เธอเคี้ยวผัดกะหล่ำก่อนจะพูดต่อ “เขาอยู่นอกเหนือไปจากสิ่งที่มนุษย์เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากช้างทั่วไป เพียงแค่เขารักสันโดษจึงไม่รวมฝูง” “พี่รู้ได้ยังไง” “ฉันได้ยินเสียงเขาเกือบทุกคืน เราได้ยินเสียงเขาทุกคนนั่นแหละ มันเหมือนคลื่นวิทยุ บางครั้งก็ชัด บางครั้งก็ปะติปะต่อยาก เพราะเขาเคลื่อนที่เกือบตลอดเวลา” “งั้นเขาก็สั่งการสัตว์ตัวอื่นได้น่ะสิ” “ไม่ใช่ เขาไม่เคยสั่งอะไรเลย สิ่งที่ได้ยินส่วนมากเป็นเรื่องราวของเขานั่นแหละ เรื่องราวของช้าง เป็นเหมือนเรื่องราวจากความทรงจำ เขาผ่านอะไรมาเยอะ ไม่สิ อืม ต้องบอกว่าสิ่งที่ได้ยินจากเขามาจากความทรงจำของช้างหลายตัว เขาเป็นเหมือนสถานีคลื่นวิทยุที่ส่งคลื่นปล่อยเรื่องราวออกมา” พ่อเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ “ตอนนี้มันเป็นแค่ความคิดในโลกออนไลน์ หลายคนก็ไม่เห็นด้วย ไม่รู้ว่าทางรัฐบาลเขาตั้งใจจะทำอะไรหรือเปล่า” “ทำอะไรอะ เอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเหรอ” พี่สาวเอียงคอ เอนตัวไปข้างหลังคล้ายกำลังครุ่นคิด “ถึงเขาตาย หรือพวกเราตายโลกมันก็ไม่กลับมาเป็นแบบเดิมภายในเวลาอันรวดเร็วหรอก”
เราทิ้งความขัดแย้งในโลกออนไลน์ไว้ในจอมือถือ พี่สาวนอนลงแล้วเล่าเรื่องราวที่ได้ยินจากช้างให้ฟัง มันมีหลายเรื่องผสมกัน ช้างที่ถูกฝูงทิ้งให้เอาตัวรอดเพียงลำพัง ช้างที่รักสันโดษตัวสีทองอ่อน ๆ เหมือนแสงอาทิตย์ยามสาย ช้างที่ถูกใช้เป็นแรงงาน ช้างที่ถูกขโมยลูกไป ช้างที่ล้มลงกลางถนนเพราะอายุมาก มันเป็นเหมือนกระแสความคิดที่ไหลผ่านเข้ามา บางคืนพี่นอนร้องไห้กับเรื่องราวพวกนั้น “เสียงของเขา จะว่ายังไง เป็นเหมือนเสียงคนหนุ่ม แต่ก็เหมือนมีอายุมากแล้ว บางครั้งก็เป็นเสียงเด็ก คนที่ได้ยินเสียงเขาก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าสรุปแล้วเป็นเสียงยังไง บางครั้งเรื่องราวที่ได้ยินก็ทำให้ฉันเห็นเป็นภาพขึ้นมาในหัวเลย” “เห็นว่าบางคนกราบไหว้เขาด้วย” ฉันพูดถึงคลิปวีดีโอที่เห็น พี่สาวหัวเราะ “กราบไปเขาก็ไม่ได้ดลบันดาลอะไรให้สมหวังหรอก แต่เอาเถอะ นั่นอาจจะหมายถึงการแสดงความเคารพก็ได้ เหมือนที่ควาญไหว้ช้างก่อนขึ้นนั่ง วันก่อน ๆ ฉันได้ยินมาเรื่องหนึ่งด้วย เรื่องควาญกับช้างที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาต่างเติบโตและเฝ้าดูกันและกัน พอแก่ตัวมาควาญช้างก็เล่นมุกว่าใครจะตายก่อนกันระหว่างเขากับช้าง เธอลองเดาดูสิใครจะตายก่อน” “ฉันว่าช้างตายก่อน” พี่สาวยิ้มแย้ม “ผิด ควาญตายก่อน แล้วไม่นานจากนั้นช้างก็ตายลง” ฉันไม่รู้ว่าพี่พูดถึงเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ไม่ขัดคอเธอ “ที่เล่าให้เธอฟัง เพราะฉันแค่รู้สึกว่า เราไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น จะมนุษย์หรือสัตว์ จิตวิญญาณข้างในเราแทบไม่ต่างกัน ตอนเป็นหมาป่าเหมือนฉันเข้าใจมนุษย์มากขึ้น ตอนที่เป็นมนุษย์ฉันก็เข้าใจสัตว์มากขึ้น เหมือนกับว่าสถานการณ์ที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ เพื่อให้เราเข้าใจกันและกันมากขึ้นก็ได้ จริงอยู่ว่าเกิดเป็นมนุษย์มันยากเย็นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าชีวิตหน้าเราจะเป็นอะไร อาจจะเป็นมนุษย์เหมือนเดิม อาจจะเป็นสัตว์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรเส้นทางตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางมันเป็นทางเส้นเดียว สำหรับคนคนเดียว เธอเข้าใจใช่ไหม” ฉันไม่ตอบกลับ พี่สาววางมือบนหัวฉันก่อนจะกลายร่างเป็นหมาป่า ไปขดตัวนอนใต้ต้นไม้ คืนนั้นฉันฝันว่าเห็นหมาป่าวิ่งอยู่บนทุ่งหญ้า เป็นฝูงหมาป่าสีน้ำตาลและมีตัวหนึ่งที่เป็นสีขาวโดดเด่นวิ่งอยู่ไม่ห่างจากกลุ่ม
พวกเราคิดว่าอีกไม่นานมนุษย์ก็จะปรับตัวและยอมรับสถานการณ์ได้แบบที่เราเป็นมาเสมอ ไม่ว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือตอนพบเจอกับโรคระบาด ครั้งนี้มันก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าปรับตัวได้ คนที่ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ก็จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่กลายเป็นว่าเกิดการรวมตัวของคนกลุ่มหนึ่ง มีข่าวลือว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองบางกลุ่ม มีกองกำลังและทุนในการจัดหาอาวุธ เป้าหมายคือการทำลายช้างพลายนั้น “ไม่ได้เข้าใจอะไรแล้วยังโง่อีก” พี่สาวกล่าวขณะที่นอนหนุนตักฉัน มีคนอ้างว่าเป็นคนที่ได้ยินเสียงจากช้างพลายนั้น แล้วบอกว่าเขาต้องการทำให้ทั้งโลกกลายเป็นป่าและทำให้คนทั้งโลกกลายเป็นสัตว์ทั้งหมด ช้างพลายนั้นกำลังจะเดินออกไปทางเขตชายแดนเหนือ พวกเขาต้องกำจัดช้างลงก่อนที่เขาจะข้ามเขตชายแดนไป เสียงจากมือถือบอกถึงรายละเอียดวันที่พวกเขาจะดำเนินการณ์ตามแผน มีคอมเมนต์ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ว่า การทำลายช้างก็ไม่ต่างอะไรจากการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เผลอ ๆ ไม่ใช่ช่วยแก้ปัญหาอะไรอย่างที่กล่าวอ้าง มีคนเสริมว่าการใช้กำลังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้ผู้คนแตกแยกจากกันยิ่งกว่าเดิม อีกคนว่ามนุษย์เอาชนะธรรมชาติไม่ได้หรอก ถึงช้างจะตายลงคนที่กลายร่างก็ใช่ว่ากลับคืนมา ต่างฝ่ายต่างทิ่มแทงกันด้วยตัวอักษร กลายเป็นสงครามบนโลกออนไลน์ แต่กลุ่มติดอาวุธก็ยังคงยืนยันว่าจะทำตามแผนการณ์ ดวงตาพี่สาวแววขึ้น มีเสียงคำรามเบา ๆ ในลำคอ
วันที่กองกำลังเริ่มเคลื่อนไหว มีการถ่ายทอดสดทุกช่องทางบนสื่อโซเชียล ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มติดอาวุธที่เคลื่อนไหว มีนักข่าวรายงานว่า พวกสัตว์บางกลุ่มเริ่มมีการรวมตัวกันอย่างน่าประหลาด พวกมันมุ่งหน้าไปยังทางเหนือ ทั้งฝูงกระทิง ฝูงแกะ ฝูงสิงโต ฝูงนกที่บินเต็มท้องฟ้า น่าจะไปรวมตัวกันที่ช้างพลายนั้น หลายคนเริ่มปักใจว่าช้างพลายนั้นเป็นต้นตอของปัญหา “พวกสัตว์จะไปปกป้องเขา” พี่สาวกล่าว “ฉันต้องไปช่วยเขาเหมือนกัน” เธอลุกขึ้นนั่ง จะไปช่วยเขาได้อย่างไร แม้พี่สาวจะเป็นหมาป่าตัวใหญ่ แต่พวกเขามีปืน ระเบิด และอาวุธอีกมากมายที่ทำให้เธอถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ “จะไปช่วยได้ยังไง พี่ทำอะไรไม่ได้หรอก” เธอหันมามองฉัน ความเด็ดเดี่ยวฉายอยู่ในดวงตา ฉันไม่เคยเห็นเธอมุ่งมั่นขนาดนี้มาก่อน ไม่แม้แต่ตอนที่เธอสำเร็จการศึกษาหรือขึ้นรับรางวัลระดับประเทศ “เดี๋ยวมันก็จบลงแล้วล่ะ อีกไม่นานมนุษย์ก็จะกลับมาครองโลกเหมือนเดิม พวกที่กลายเป็นสัตว์ก็ต้องไปซ่อนตัวอยู่ในป่า ฉันเองก็เหมือนกัน ไม่ว่ายังไง สุดท้าย ฉันก็ต้องไปจากที่นี่ จะเป็นตอนนี้หรือในอนาคตก็ไม่ต่างกัน อย่างน้อยตอนนี้ถ้าฉันไปช่วยเขาได้ เราก็จะกลับไปยังที่ของเราด้วยกัน” ฉันหันไปขอความช่วยเหลือจากพ่อ แต่พ่อกลับส่ายหัวเบา ๆ แล้วนิ่งเงียบ
มีเสียงหอนโหยหวนดังมาจากทางถนนหน้าบ้าน “พวกเขากำลังมา” เธอถอดเสื้อผ้าออก “ไม่ อย่าไปนะ” ฉันดึงแขนของเธอไว้ พี่สาวหันมามองฉันแวบหนึ่งแล้วกลายร่างเป็นหมาป่า หมาป่าสีขาวสูงใหญ่จนฉันต้องเงยหน้าขึ้นมอง เธอแสยะเขี้ยวเหมือนพยายามจะยิ้มแล้วพุ่งตัวออกวิ่งไปข้างหน้า ไปหาฝูงหมาป่าที่กำลังวิ่งผ่านถนนหน้าบ้านเรา ในหัวฉันชาวาบอยู่ชั่วขณะ
ฉันรีบวิ่งตามออกจากบ้าน มีเสียงตะโกนของพ่อตามหลัง ฉันคิดว่าถ้าหากฉันรีบวิ่ง ฉันอาจจะตามพี่สาวทัน บ้าจริง ฉันไม่เห็นอะไรเลยนอกจากถนนที่ว่างเปล่า และแสงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ลมกรีดผ่านผิวเนื้อ ภาพเริ่มพร่ามัวเพราะน้ำในดวงตา ฉันตะโกน พี่ พี่คะ ไปตามทาง พวกสัตว์ทั้งหลายข้างทางไม่ได้สนใจมนุษย์ที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตามถนน น้ำตานองหน้า ห่าเอ๊ย ฉันสบถในใจ ล้มลงกลิ้งไปตามทางพื้นถนน พยายามอดกลั้นเสียงสะอื้น ขาพลิก ความเจ็บปวดจากข้อเท้าแล่นขึ้นมาถึงน่อง เงยหน้าขึ้นไม่เห็นอะไรนอกจากสีเขียวจากต้นไม้และต้นหญ้าที่แผ่ไปไกลกลบฝังอาคารสิ่งก่อสร้างจากมือของมนุษย์ไว้จนหมดสิ้น ฉันพยายามลากตัวไปตามพื้น พวกสัตว์ที่อยู่ใกล้บริเวณเข้ามารุมล้อม ทั้งดม ยื่นจมูกมาสัมผัส เลีย พวกมันยังคงเหลือสำนึกแบบมนุษย์ที่มุงเข้ามาตามกลิ่นของการร้องขอความช่วยเหลือทั้งที่ฉันไม่ต้องการ ฉันฝ่าวงล้อมออกไปไม่ได้ ภาพถูกบดบังจนแทบมองไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลย ฉันฟุบหน้าลงแล้วปล่อยโฮ?โหยหวนไม่ต่างอะไรจากเสียงหอนของหมาป่า.