717

เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำพระปรง จังหวัดปราจีนบุรี

“เครือข่ายนอกรูปแบบ ร่วมกันคิด แยกกันทำ สรรสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีสู่สังคม”


การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ยั่งยืนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประชาชาชนต้องเผชิญกับมลภาวะโดยไร้การเหลียวแลเยียวยา ผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่ม “เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำพระปรง” เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่เขตอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งขาดการควบคุมและป้องกันที่มีประสิทธิภาพ น้ำเสียปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ กระทบผู้ใช้น้ำตอนล่างในเขตปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา การใช้เวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนสะท้อนปัญหาและทางออก สร้างแนวร่วมผู้ได้รับผลกระทบ และส่งเสียงไปให้ถึงหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ค่อยทำไปทีละเรื่อง แก้ไขไปทีละจุด ด้วยลักษณะเครือข่ายนอกรูปแบบที่มีกระบวนแบบไม่มีแกนนำ ไม่มีหัวหน้า เป็นกลุ่มหลวม ๆ เชิงกลไก แต่ขับเคลื่อนด้วยจิตสำนึก เพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไข อาศัยข้อมูลชุดความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มาเป็นเครื่องมือ การมอง “ประเด็นร้อน” ที่ต้องแก้ปัญหาเร่งด่วน กับ “ประเด็นเย็น” เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต สะท้อนวิถีการต่อสู้และปากท้องต้องไปด้วยกัน โดยใช้แนวทาง “ร่วมกันคิด แยกกันทำ” ทำให้เกิดความหลากหลายและความยืดหยุ่นในการทำงาน ตั้งแต่การทำเวทีแก้ปัญหา การปลูกป่า การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การเพิ่มรายได้ต่าง ๆ หรืองานวัฒนธรรม จากจุดเริ่มต้น 4 ตำบล ขยายเพิ่มอีก 8 ตำบล และจะขับเคลื่อนต่อไปให้ครอบคลุมทั้งอำเภอกบินทร์บุรี


การหลั่งไหลของผู้คน

            “แม่น้ำพระปรง” หรือ “แควพระปรง” มีต้นน้ำจากทุ่งละเลิงไผ่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก ไหลเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างอำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว กับอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ไปรวมกับแม่น้ำหนุมานที่ตัวเมืองกบินทร์บุรี กลายเป็นแม่น้ำบางประกง หรือแม่น้ำปราจีนบุรี ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนา ทำไร่ มีเชื้อสายมาจากลาว เนื่องจากบรรพบุรุษอพยพมาจากเวียงจันทร์

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2529 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่งเสริมให้พื้นที่บริเวณลุ่มน้ำพระปรงเป็นเขตอุตสาหกรรม เกิดการหลั่งไหลของผู้คนเข้ามาเป็นแรงงานในโรงงานต่างๆ เมืองขยายตัวทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ปัญหาครอบครัว ยาเสพติด อาชญากรรม รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปนเปื้อนของเสียและสารเคมีในน้ำ ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำตอนล่างในจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา น้ำเน่าเสีย สัตว์น้ำตาย ชาวบ้านไม่สามารถจับสัตว์น้ำเพื่อบริโภคและขายได้ ไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานใดเข้ามาเยียวยา แก้ไข กระทั่งเกิดการรวมตัวของคนกลุ่มหนึ่งที่เห็นความสำคัญและหยิบประเด็นปัญหามลภาวะทางน้ำขึ้นมาหาทางออก และก่อตั้งเป็น “เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำพระปรง” เป็นต้นมา

 

ความโดดเด่นของผลงาน “รางวัลลูกโลกสีเขียว” ประเภทชุมชน ครั้งที่ 12 ปี 2553

ปัญหาน้ำเสียในแควพระปรงเป็นสถานการณ์ซ้ำซากหลายปีโดยไม่มีหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามาแก้ไขจริงจัง ทำให้ชาวบ้านโดยรอบได้รับผลกระทบ จึงรวมตัวกันตั้งกระทู้เพื่อหาทางออก โดยเริ่มต้นจากคนกลุ่มหนึ่งและขยายผลเป็น “เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำพระปรง” ครอบคลุมพื้นที่ 9 ตำบลในเขต อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ใช้หลักการเคลื่อนงานแบบ “เวทีนี้ไม่มีเจ้านาย” แบ่งหน้าที่ช่วยกันทำอย่างเท่าเทียม ความสำเร็จในการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือกลายเป็นพลังที่นำไปสู่การทำงานด้านอื่น ๆ ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วัฒนธรรมชุมชนเป็นแบบอย่างของการจัดการโดยเริ่มจากตนเอง

 

การปรับเปลี่ยนหลังจากได้รับ “รางวัลลูกโลกสีเขียว” ประเภทชุมชน ครั้งที่ 12 ปี 2553

การคงอยู่ การคงสภาพ การดำรงรักษาระบบนิเวศ แม้เวลาจะผ่านไปการฟื้นฟูวัฒนธรรมชุมชน “สืบชะตาสายน้ำ”ยังคงดำเนินการต่อเนื่องทุกปี เพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของสายน้ำซึ่งเปรียบเสมือน “เส้นเลือดใหญ่” ของคนลุ่มน้ำพระปรง การตื่นตัวต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม และเฝ้าระวังน้ำเสียจากทั้งโรงงาน และภาคการเกษตร โดยสามารถขยายแนวร่วมจาก 9 ตำบล เป็น 12 ตำบล การยกระดับกิจกรรม การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การอนุรักษ์ป่าครอบครัว  ป่าชุมชนโดยการประกาศข้อตกลงการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์พันธุ์ไม้และแหล่งอาหารจากป่า การขยายเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ใน อ.กบินทร์บุรี อ.นาดี และ อ.ประจันตคาม การจัดการชุดความรู้ที่หลากหลายที่เกิดจากการต่อสู้กับปัญหาและการจัดการ เช่น ภูมิปัญญาปลาร้ากับพันธุ์ปลาที่หายไปเป็นการสร้างสำนึกในการอนุรักษ์น้ำ น้ำต้องดี น้ำต้องไม่เสีย เพื่อให้มีปลาเป็นแหล่งอาหารให้กับคนในชุมชน ภูมิปัญญาวัฒนธรรมลาวเวียงวังตะเคียน วัฒนธรรมลาวในปราจีนกับการใช้ชีวิตแควพระปรง ภูมิปัญญาสาโท ความสัมพันธ์ของคนด้วยน้ำสาโทตัวเชื่อมสัมพันธ์งานบุญ งานอาสา และการใช้ชีวิตของคนริมหาดแควพระปรงกับการปรับเปลี่ยนพื้นที่

การแบ่ง “ประเด็นร้อน” และ “ประเด็นเย็น”  ในการขับเคลื่อนงาน สร้างสมดุลการต่อสู้กับปากท้องต้องไปด้วยกัน โดยประเด็นร้อนใช้การประสานงานภาคธุรกิจป้องกันและควบคุมการปล่อยน้ำเสียลงสู่สายน้ำเพื่อแก้ปัญหา ส่วน “ประเด็นเย็น” เป็นการสร้างคุณภาพชีวิต จัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์ปรับวิถีการผลิต สร้างรายได้ รวมถึงการจัดตั้ง “สหกรณ์เกษตรอินทรีย์” เพื่อเป็นจุดรวมผลผลิตอินทรีย์สู่ตลาด อีกทั้งทำ MOU ร่วมกับโรงพยาบาลอภัยภูเบศ และโรงพยาบาลสนามชัยเขต ในการป้อนสมุนไพร ผัก ผลไม้ จากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์เพื่อเป็นส่วนประกอบเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง และประกอบอาหารสุขภาพดูแลผู้ป่วย แพทย์และพยาบาล

เครือข่ายนอกรูปแบบที่ไม่มีแกนนำ มารวมกันด้วยความุ่งมั่น โดยมีเป้าหมายหลัก คือ รักษาสายน้ำ สามารถขยายไปหลากหลายกิจกรรม ตั้งแต่การฟื้นฟู การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาวะและวัฒนธรรม ดังมีกิจกรรม เช่น การรักษาระบบนิเวศพืชชายน้ำซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปลาขนาดเล็ก เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำและอาหารของคนตลอดสายน้ำ การส่งเสริม การขยายฐานการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อบริโภคและจำหน่ายที่สะท้อนการมีแหล่งอาหารที่ปลอดภัย การจัดทำธรรมนูญสุขภาพ การฟื้นฟูป่าชุมชน (ป่ายางนา) ในพื้นที่ส่วนบุคคล และพื้นที่เครือข่าย โดยทุกกิจกรรมจะสรุปบทเรียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาต่อไป 

การปรับเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เน้นการประสานความสัมพันธ์กับผู้ประกอบการเอกชนและโรงงานอุตสาหกรรม สร้างพื้นที่รับฟังและแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทำให้การพัฒนาไม่ส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

13 ปีของ “เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำพระปรง” เกิดการขยายเครือข่ายด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสร้างไตรภาคี ประกอบด้วย ภาคเอกชน ภาคราชการ และภาคประชาชนในเชิงพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ร่วมทุนในการทำกิจกรรมชุมชน อาทิ กิจกรรมการป้องกันตลิ่งพัง กิจกรรมการปลูกป่า เกิดแนวทาง Industry Eco-Town มีการประชุมหาแนวทางในการทำกิจกรรม การขยายเครือข่ายตามประเด็นการทำงาน นอกจากด้านสิ่งแวดล้อม ปากท้องต้องอิ่ม ถือเป็นต้นแบบของการขับเคลื่อนเครือข่ายอย่างยั่งยืน

 

เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำพระปรง : อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี หมู่ 1 บ้านซ่ง ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี 25110

ประสานงาน : นายเลื่อน  บ่อจักรพันธ์ หมู่ 6 บ้านตลอกปลาไหล ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี 25110

โทร. 086 110 8727 หรือ 081 299 2893

ประชากร : จากเครือข่าย 12  ตำบลรวมพื้นที่ขยาย ยกเว้น ต.หนองกี่ และตำบลนาแขม ในเขต อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี มีทั้งสิ้น 170 หมู่บ้าน 127,400 ครอบครัว

พื้นที่ดำเนินการ :  จากกลุ่มเล็ก ๆ ขยายพื้นที่เครือข่ายร่วมดำเนินงานเป็น 12 ตำบลจากทั้งหมด 14 ตำบล ยกเว้น ต.หนองกี่ และ ต.นาแขม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ที่ยังไม่เข่าร่วม มีการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ การจัดการป่าสาธารณทั้ง 9 ตำบล ประมาณ 5,016 ไร่ ในเขต อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

ระยะเวลาในการอนุรักษ์: เริ่มจัดตั้งเครือข่าย ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน


717